เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า นายหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน เตือนฟิลิปปินส์ว่าจะต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวัง หลังเกิดการกระทบกระทั่งรุนแรงระหว่างสองชาติในทะเลจีนใต้อย่างต่อเนื่อง โดยที่นักการทูตระดับสูงสุดของจีนผู้นี้กล่าวโทษว่าเป็นเพราะการปรับเปลี่ยนนโยบายของฟิลิปปินส์เอง
คำเตือนดังกล่าวมีขึ้นในระหว่างที่นายหวังพูดคุยทางโทรศัพท์กับนายเอ็นริเก้ มานาโล รัฐมนตรีต่างประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม จากการเปิดเผยของกระทรวงต่างประเทศจีนระบุว่า นายหวังกล่าวว่าความสัมพันธ์จีน-ฟิลิปปินส์ในขณะนี้กำลังเผชิญกับความยากลำบากรุนแรง โดยรากเหง้าของปัญหามาจากที่ฟิลิปปินส์ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนในนโยบายที่ดำเนินมายาวนาน ไม่รักษาพันธะสัญญาของตนเอง ยังคงกระตุ้นยั่วยุและก่อความยุ่งยากในทะเลต่อไป และยังทำลายสิทธิทางกฎหมายของจีน
“ความสัมพันธ์จีน-ฟิลิปปินส์อยู่บนทางแยก ฟิลิปปินส์ต้องดำเนินการด้วยความระมัดระวังเมื่อต้องเลือกว่าจะไปทางไหน”
ท่าทีของนักการทูตจีนผู้นี้มีขึ้นหลังจากทางการฟิลิปปินส์ได้เรียกตัวผู้แทนการทูตของจีนเข้าพบเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมและส่งสัญญาณความเป็นไปได้ที่จะขับเขาออกนอกประเทศ หลังเกิดเหตุการณ์ปะทะกันของเรือทั้งสองชาติในพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้ขึ้นหลายครั้ง
โดยเหตุเผชิญหน้าเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งหน่วยยามฝั่งฟิลิปปินส์นำคลิปวิดีโอเผยแพร่แสดงให้เห็นเรือจีนฉีดน้ำอัดเข้าใส่เรือของฟิลิปปินส์ในระหว่างส่งเสบียงให้กับชาวประมงที่สันดอนสการ์โบโรห์ และกองทหารรักษาการณ์ที่สันดอนเซคันด์ โธมัส เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ยังเกิดเหตุเรือจีนและฟิลิปปินส์ชนกันที่สันดอนเซคันด์ โธมัส ที่มีทหารฟิลิปปินส์ประจำการอยู่บนเรือรบที่จอดอยู่ โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวโทษกันว่าเป็นต้นเหตุ
ทั้งนี้จีนกล่าวอ้างกรรมสิทธิส่วนใหญ่ในทะเลจีนใต้ ที่มีหลายชาติในภูมิภาคนี้ รวมถึงฟิลิปปินส์และเวียดนาม ต่างอ้างสิทธิส่วนหนึ่งในพื้นที่พิพาททางทะเลนี้ด้วย
นอกจากนี้ยังมีนักวิเคราะห์ทางการต่างประเทศมองว่า หลังจากที่ฟิลิปปินส์เคยมีท่าทีต่อจีนด้วยความเป็นมิตรมาโดยตลอดในสมัยของประธานาฺธิบดีคนก่อน แต่ล่าสุดการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งนี้ในสมัยปัจจุบันอาจจะมีการสานสัมพันธ์กับสหรัฐฯ มากขึ้น