ในวันนี้ (31 ม.ค.2567) ที่ผ่านมา นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปัจจุบันรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ได้ขยายระยะทางขนส่งผู้โดยสารข้ามประเทศจากนครหลวงเวียงจันทน์ของลาว ถึงนครคุนหมิงของจีน จากช่วงแรกที่ให้บริการเฉพาะภายในลาวเท่านั้น
ส่งผลให้สามารถขนส่งทั้งสินค้าและผู้โดยสารระหว่างจีน ลาว และไทยมากขึ้น จึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการขยายการค้าการลงทุนในจีนและลาว รวมถึงโอกาสในการรองรับนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวลาวที่มีแนวโน้มเดินทางเข้ามาในไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ จีนถือเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญของไทย ด้วยสัดส่วนร้อยละ 12 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมด โดยปี 2566 มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยไปจีนอยู่ที่ 1.2 ล้านล้านบาท หดตัวเล็กน้อยที่ -1.3 %
อย่างไรก็ดี การส่งออกผ่านแดนไปจีนยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้าไทยไปจีนด้วยรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว ผ่านด่านหนองคาย คาดว่าปี 2566 จะมีมูลค่าเกือบ 10,000 ล้านบาท หรือขยายตัวถึง 4 เท่าตัว และปี 2573 จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นราว 27,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจากปี2566
นอกจากนี้นักท่องเที่ยวชาวจีน จากมณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นสถานีต้นทางของรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และ 4 พื้นที่ใกล้เคียง สามารถเดินทางถึงกันได้ทางรถไฟ ได้แก่ มณฑลเสฉวน มณฑลกุ้ยโจว มณฑลฉงชิ่ง และเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง
สามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยร้อยละ 1 หรือราว 2.5 ล้านคน จะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวอย่างน้อยราว 4,685 ล้านบาทต่อปี
ดร.สุปรีย์ ศรีสำราญ นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า แรงหนุนจากรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทาน จะช่วยสร้างโอกาสแก่ผู้ประกอบการไทยในตลาดจีนและลาว 3 ด้านหลัก คือ ด้านการค้า สินค้าไทยที่มีศักยภาพ เช่น ผักและผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง แป้งมันสำปะหลัง ทองแดงและผลิตภัณฑ์ สินค้าปศุสัตว์ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้
ผู้ประกอบการไทยอาจเลือกสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าเป้าหมายหรือเป็นทางเลือกใหม่ในการขยายตลาด ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในจีนและลาวมากขึ้น
สำหรับด้านการบริการอย่างธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจขนส่งและ Logistics จะได้รับอานิสงส์จากแนวโน้มการเติบโตของการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน และการเติบโตของนักท่องเที่ยวชาวจีนและชาวลาวที่จะเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากขึ้น โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
ขณะที่ด้านการลงทุนภาครัฐจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากจีน อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน รวมทั้งมีโอกาสดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากลาวมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังมีโอกาสเข้าไปลงทุนในจีนและลาวในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพและความเชี่ยวชาญ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการซื้อขายสินค้าจากจีนที่มีต้นทุนต่ำ เพื่อนำมาใช้เป็นวัตถุดิบการผลิตในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ผักและผลไม้เมืองหนาว เป็นต้น
ขณะที่ น.ส.สุคนธ์ทิพย์ ชัยสายัณห์ นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS กล่าวว่า ศักยภาพของตลาดจีนและลาวสามารถรองรับความต้องการสินค้าและบริการได้อีกมากในอนาคต ผู้ประกอบการไทยจึงควรศึกษากฎระเบียบและเงื่อนไขด้านการลงทุนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งวิเคราะห์ทิศทางของเทรนด์สินค้าในตลาดจีนและลาวที่มีแนวโน้มเติบโต
ส่วนภาครัฐควรเร่งขับเคลื่อนแผนเชื่อมโยงระบบรางของไทยกับรถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ซึ่งจะสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยขยายการค้าและบริการระหว่างกันมากยิ่งขึ้น
@suebjarkkhao รถไฟความเร็วสูงจีน-ลาว หนุนส่งออกไทยพุ่ง 2.7 หมื่นล้าน
♬ เสียงต้นฉบับ – Suebjarkkhao