สืบเนื่องจากได้มีสายโทรเข้ามายังมือถือของผู้เสียหาย ให้ไปอัปเดตข้อมูลการย้ายทะเบียนบ้านให้เป็นปัจจุบัน คนร้ายแจ้งว่า มี 2 ช่องทาง ให้ทำการอัปเดตข้อมูล คือ 1.ให้เดินทางไปที่สำนักงานที่ดิน 2.ให้โหลดแอปพลิเคชั่นกรมที่ดิน เพื่อทำการจองคิวนัดหมาย ผู้เสียหายจึงเลือกตัวเลือกช่องทางที่ 2 จากนั้นคนร้ายได้โอนสายไปยังคนร้ายอีกคนหนึ่งเป็นชายไทย จากนั้นคนร้ายได้บอกให้เปิด Google Chrome และพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ปลอม จากนั้นจะปรากฏหน้าเว็บไซต์เหมือนกรมที่ดิน ซึ่งดูน่าเชื่อถือ
จากนั้นคนร้ายบอกให้กดที่ปุ่มดาวน์โหลดแอปปลอม แล้วให้กรอกเลขบัตรประจำตัวประชาชน และหมายเลขโทรศัพท์มือถือ เมื่อกรอกแล้วจะปรากฏหน้าต่างให้กดอนุญาตการเข้าถึงโทรศัพท์มือถือ แล้วหน้าจอค้างประมาณ 10 นาที และให้แสกนใบหน้า ตั้งรหัสผ่าน 6 หลัก จำนวน 3 ครั้ง จากนั้นคนร้ายได้สอบถามถึงบัญชีธนาคารของผู้เสียหายว่ามีบัญชีใดบ้าง จากนั้นคนร้ายได้ตัดสายโทรศัพท์ไป ผู้เสียหายเริ่มเอะใจ จึงตรวจสอบ ปรากฏว่าเงินบัญชีได้ถูกดูดออกไปจนหมด และบัตรเครดิตถูกถอนเงินออกจนเต็มวงเงิน รวมเป็นเงิน 163,700 บาท จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน
ต่อมา พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อกวาดล้างจับกุมขบวนการดังกล่าว
พ.ต.อ.อุกฤช ศรีนิติวรวงศ์ ผกก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.5 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัด สืบสวนทราบว่าเจ้าของบัญชีที่ผู้เสียหายได้โอนเงินไป คือ นางสาวสมใจ อายุ 47 ปี ชาวจังหวัดสมุทรสาคร จึงทำการรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับจากศาล
จนกระทั่งวันที่ 25 มี.ค.67 เวลาประมาณ 20.15 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.สุระ วราพร สว.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.5 ได้รับแจ้งว่า นางสาวสมใจ บุคคลตามหมายจับ ได้มาพักอาศัยอยู่ อ.เมืองสมุทรสาคร จ.สมุทรสาคร จึงแสดงตัวเข้าจับกุมในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่นและโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ฐานเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบและข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตนเอง ฐานผู้ใดเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝากของตนโดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้ทั้งนี้โดยประการที่รู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด” นำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป