“…ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ติดตามผลการพิจารณาตรวจสอบกรณีการขาดคุณสมบัติของ ศาสตราจารย์ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.หลังจากที่ คณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา (กมธ.ไอซีที) ได้สรุปรายงานผลการตรวจสอบคุณสมบัติประธาน กสทช.แล้ว มีความเห็นว่า นพ.สรณ ขาดคุณสมบัติการเป็นประธานและกรรมการ กสทช ก่อนส่งเรื่องไปยัง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาพิจารณาแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งที่รายงานดังกล่าวควรส่งถึงมือทนายกรัฐมนตรี ก่อนที่วุฒิสภาชุดนี้จะหมดวาระลง ตนจึงได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือ ต่อนายกฯด้วยตนเอง..”
ร้องนายกปลด “หมอไห่!”
อดีตรองเลขา กสทช.ลุยทำเนียบ
หลัง ปธ.วุฒิส่อดองผลตรวจสอบ ทั้งที กมธ.ไอซีที ชงฟันชัด “นพ.สรณ” ผิดคุณสมบัติ
ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า วันที่ 5 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล ผศ. ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ อดีตรองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. ได้เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ติดตามผลการพิจารณาตรวจสอบกรณีการขาดคุณสมบัติของ ศาสตราจารย์ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช.หลังจากที่ คณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา (กมธ.ไอซีที) ได้สรุปรายงานผลการตรวจสอบคุณสมบัติประธาน กสทช.แล้ว มีความเห็นว่า นพ.สรณ ขาดคุณสมบัติการเป็นประธานและกรรมการ กสทช. ก่อนส่งเรื่องไปยัง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาพิจารณาแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ทั้งที่รายงานดังกล่าวควรส่งถึงมือทนายกรัฐมนตรี ก่อนที่วุฒิสภาชุดนี้จะหมดวาระลง ตนจึงได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือ ต่อนายกฯด้วยตนเอง
อดีตรองเลขา กสทช. กล่าวว่า ช่วงเดือนกันยายน 2566 ตนได้ยื่นหนังสือไปยังประธานวุฒิสภา เพื่อให้ตรวจสอบคุณสมบัติของ นพ.สรณ ประธาน กสทช. ว่ามีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 7 หรือกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 8 และมาตรา 18 รวมทั้งมิได้ปฏิบัติหน้าที่เต็มเวลาตามมาตรา 26 พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ 2553 โดยได้ยื่นตรวจสอบ 3 กรณี ประกอบด้วย
1.ประธาน กสทช.ยังมีสถานะ “เป็นพนักงานมหาวิทยาลัย” ทำหน้าที่ตรวจและรักษาคนไข้ผู้ป่วยได้รับค่าตอบแทนรายชั่วโมง ของคณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มาตลอดจนถึงปัจจุบัน
2.ประธาน กสทช. ยินยอมให้เสนอชื่อตนเองต่อที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของ ธนาคารกรุงเทพ เพื่อให้ผู้ถือหุ้นเลือกและยอมรับการเป็นกรรมการของธนาคารดังกล่าว พร้อมทั้งมิได้ลาออกจากตำแหน่ง ถึงแม้จะได้รับการโปรดเกล้ารับตำแหน่ง กรรมการ กสทช.ก็ตาม
และ 3.ประธาน กสทช. ยังคงมีสถานะเป็ผู้บริหารหรือพนักงานของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่เป็นผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ช่อง รามาชาแนล ก่อนเข้ารับตำแหน่ง กรรมการ กสทช. ซึ่งจากบันทึกการประชุม กมธ.ไอซีที เลขที่ 17/2567 วันที่ 28 พ.ค.2567 มีความเห็นว่า ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณฯ เป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 ข. (12) มาตรา 8 มาตรา 18 มาตรา 20 และมาตรา 26
นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ประธานวุฒิสภาพิจารณาตามหน้าที่และอำนาจกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ซึ่งภายหลังรับทราบความเห็นและมติของ กมธ.ไอซีที ตนจึงทำหนังสือถึงประธานวุฒิสภา เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าในการพิจารณาคุณสมบัติของประธาน กสทช.แต่จนถึงปัจจุบัน ยังมิได้มีการดำเนินการใดๆ
“เหตุนี้จึง อยากขอกราบเรียนไปยังนายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผู้รักษาการ ตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ได้โปรดดำเนินการตามอำนาจผูกพันตามกฎหมาย พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ มาตรา 7 ข. (๑๒) มาตรา 8 มาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 18 และมาตรา 20 เพราะการนิ่งเฉยหรือซื้อเวลาอาจส่งผลเสียต่อประโยชน์สาธารณะและกิจการโทรคมนาคมของประเทศ อาจเข้าข่ายการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้ และในระหว่างนี้ขอให้ท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้รักษาการตาม พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ได้โปรดมีคำสั่งให้ ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ หยุดปฏิบัติหน้าที่ในฐานะประธานและกรรมการ กสทช. ไว้ก่อน เพราะหากยังคงให้ศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณปฏิบัติหน้าที่ กสทช. ต่อไปอาจก่อให้ความเสียหายในอนาคตเพราะการอนุมัติต่างๆ อาจจะถือเป็นโมฆะได้
#สืบจากข่าว รายงาน