“….ล่าสุด คือการตกลงกันของกลุ่มชาวปาเลสไตน์ 14 กลุ่ม จับมือกัน เลิกทะเลาะกัน เพื่อเดินหน้าแก้ปัญหาขัดแย้งกับอิสราเอลและสร้างรัฐปาเลสไตน์รองรับชีวิตของชาวปาเลสไตน์ 13.5 ล้านคน บนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์หลายพันตารางกิโลเมตร โดยมีกรุงยารูซาเร็มเป็นเมืองหลวง โดยตัวแทนทั้ง14กลุ่มได้มาพบปะเจรจากันที่กรุงปักกิ่งรวม 3 วัน แล้วร่วมกันลงนามใน “ปฏิญญาปักกิ่ง” ในวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีรัฐมนตรีต่างประเทศจีนหวังอี้เป็นสักขีพยานในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับอิสราเอล ทันทีที่การลงนามสำเร็จลงไป ทั้งโลกพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เพราะจีนแท้ๆที่ทำให้ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันในหมู่ชาวปาเลสไตน์หันมาจับมือกัน ตกลงกันเดินหน้ากอบกู้ชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ที่กำลังโดนอิสราเอลทิ้งระเบิดโจมตีตายกันเป็นเบือ นับเป็นภาพซ้ำของความสำเร็จทางการทูตครั้งยิ่งใหญ่่อีกครั้งของจีน ภายหลังจากสามารถจูงมืออิหร่านกับซาอุดิอาราเบียมาประสานกันได้ที่กรุงปักกิ่งเมื่อปีที่แล้ว ยังผลให้ชาวอาหรับและมุสลิมทั้งโลกสรรเสริญสดุดี บัดนี้ปรากฎมีแสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาเชื่อมั่นในแสงสว่างนี้อย่างเต็มเปี่ยม….”
แสงส่องนำทาง 引路之光
ก่อนเข้าเรื่อง ผู้เขียนขอทำความเข้าใจกับท่านผู้อ่านสักนิด ว่าแนวนำเสนอเรื่องจีนของผู้เขียน จะมุ่งไปในทางการเปลี่ยนแปลงของจีนในบริบทการวิวัฒนาการของสังคมโลกคือถือเอาความเจริญก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติเป็นที่ตั้ง ซึ่งจะต้องยึดมั่นอยู่ในความถูกต้องของประวัติศาสตร์ไม่แยกเขาแยกเรา
แนวคิดดังกล่าวของผู้เขียน เผอิญตรงกับการนำเสนอแนวคิด “สร้างประชาคมโลกที่มีชะตากรรมร่วมกัน” (构建人类命运共同体)ของ ประะธานาธิบดี สี จิ้นผิง นั่นคือมองเห็นทิศทางการขับเคลื่อนของสังคมโลกไปในทางที่มวลมนุษย์จะต้องอยู่ร่วมกัน สร้างอนาคตร่วมกัน
ทั้งนี้ มิใช่เพราะความปราถณาดีของใครโดยเฉพาะ แต่หากเพราะความพัฒนาก้าวหน้าทางด้านวัตถุที่ตั้งอยู่บนฐานของวิทยาศาสตร์เทคโนโลยียุคใหม่ที่ได้ปลดปล่อยมวลมนุษย์ออกจากกรอบจำกัดเดิมๆอย่างรอบด้าน รวมไปถึงกรอบความรับรู้ของมวลมนุษย์โดยรวม
บนพื้นฐานขององค์ประกอบที่เป็นจริงนี้ ความรู้สึกสำนึกของชาวโลกโดยรวมจึงมุ่งไปในทางเดียวกัน โดยไม่แยกเขาแยกเรา นั่นคือ”สงบสุข พัฒนาก้าวหน้า”
ดังนั้น อะไรที่นำมาซึ่งความสงบสุข เจริญรุ่งเรือง มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นย่อมเป็นที่ต้อนรับของคนทั่วไป ตรงกันข้ามอะไรที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ยาก ความล้าหลังยากจน ก็จะถูกปฏิเสธ
จึงไม่แปลกที่ปัจจุบันนี้ ประเทศจีนที่เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขถ้วนหน้า จึงกลายเป็น “ต้นแบบ” ที่คนทั้งโลกใฝ่ฝัน
ในบริบทที่จีนกำลังเป็นความใฝ่ฝันของชาวโลกโดยรวมเช่นนี้ สิ่งที่จีนนำเสนอจึงมีน้ำหนัก เป็นที่เชื่อมั่นของชาวโลกไม่ว่าจะเป็นข้อเสนอริเริ่มใดๆ ล้วนแต่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ล่าสุด คือ การตกลงกันของกลุ่มชาวปาเลสไตน์ 14 กลุ่ม จับมือกัน เลิกทะเลาะกัน เพื่อเดินหน้าแก้ปัญหาขัดแย้งกับอิสราเอลและสร้างรัฐปาเลสไตน์รองรับชีวิตของชาวปาเลสไตน์ 13.5 ล้านคน บนดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์หลายพันตารางกิโลเมตร โดยมีกรุงยารูซาเร็มเป็นเมืองหลวง
ตัวแทนทั้ง 14 กลุ่มได้มาพบปะเจรจากันที่กรุงปักกิ่งรวม 3 วัน แล้วร่วมกันลงนามใน “ปฏิญญาปักกิ่ง” (北京宣言)ในวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ประกาศความเป็นหนึ่งเดียวกันของชาวปาเลสไตน์ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับอิสราเอล โดยจะมีการก่อตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนชาวปาเลสไตน์เพียงหนึ่งเดียว และเดินหน้าสร้างรัฐปาเลสไตน์ของตนเองภายใต้ข้อตกลงต่างๆจากที่ประชุมขององค์การสหประชาชาติ ทั้งที่มีอยู่แล้ว และที่กำลังจะมีขึ้นในวันข้างหน้า
ทันทีที่การลงนามสำเร็จลงไป ทั้งโลกพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เพราะจีนแท้ๆ ที่ทำให้ทุกฝ่ายที่ขัดแย้งกันในหมู่ชาวปาเลสไตน์หันมาจับมือกัน ตกลงกันเดินหน้ากอบกู้ชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ที่กำลังโดนอิสราเอลทิ้งระเบิดโจมตีตายกันเป็นเบือ
ที่ผ่านมาหลายเดือน ทั่วโลกต้องการยุติสงคราม แต่สหรัฐฯกับอิสราเอลไม่ฟังเสียง มุ่งที่จะควบคุมดินแดนของปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาทั้งหมด
ในห้วงที่ทั้งโลกกำลังจนปัญญา หาทางออกจากวิกฤตไม่ได้ ไม่สามารถยั้งมือเพชฌฆาตของอิสราเอลได้นั้น การตกลงจับมือกันของชาวปาเลสไตน์ครั้งประวัติศาสตร์นี้ จะต้องมีผู้มีบารมีพิเศษอยู่เบื้องหลัง
การลงนามที่กรุงปักกิ่งและใช้ชื่อว่า “ปฏิญญาปักกิ่ง” โดยมีรัฐมนตรีต่างประเทศจีนหวังอี้เป็นสักขีพยานนั้นนับเป็นภาพซ้ำของความสำเร็จทางการทูตครั้งยิ่งใหญ่่อีกครั้งของจีน ภายหลังจากสามารถจูงมืออิหร่านกับซาอุดิอาราเบียมาประสานกันได้ที่กรุงปักกิ่งเมื่อปีที่แล้ว ยังผลให้ชาวอาหรับและมุสลิมทั้งโลกสรรเสริญสดุดี
และครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ปัญหาปาเลสไตน์ที่วนเวียนอยู่ในมุมมืดที่ทิ่มแทงหัวใจชาวอาหรับมุสลิมมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ได้รับแสงสว่างที่มาจากประเทศใหญ่ทางตะวันออกส่องนำทางแล้ว
หนึ่งในผู้แทนกลุ่มฟาต้าห์พูดกับผู้สื่อข่าวด้วยความซาบซึ้งใจว่า ในความมืดที่พวกเขาเผชิญอยู่นั้น บัดนี้ปรากฎมีแสงสว่างเกิดขึ้นแล้ว
พวกเขาเชื่อมั่นในแสงสว่างนี้อย่างเต็มเปี่ยม