จีนกับอินเดีย เห็นพ้องที่จะถอนทหารจำนวนหลายหมื่นคน ซึ่งประจำอยู่ตามแนวชายแดนพิพาท นับตั้งแต่เกิดวิกฤตรุนแรง ในเดือนกรกฎาคม 2020 ด้วยเหตุปะทะกันของกองกำลังสองฝ่าย ทำให้ทหารอินเดียเสียชีวิตอย่างน้อย 20 คน และฝ่ายจีน 4 คน เกิดการเผชิญหน้ากันอย่างยาวนาน ในพื้นที่เทือกเขาหิมาลัย โดยแต่ละฝ่ายได้ส่งทหารพรั่งพร้อมด้วยปืนใหญ่, รถถัง, และเครื่องบินขับไล่ ไปตั้งประจำที่นั่น
ตามแถลงการณ์ของรัฐบาลอินเดีย ทั้งสองฝ่ายได้เน้นย้ำความจำเป็น สำหรับการคลี่คลายหาทางออกในปัญหาที่ยังค้างคาอยู่ ตามแนว “เส้นควบคุมแท้จริง” (Line of Actual Control) พรมแดนยาวเหยียด บริเวณเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งปัจจุบันทั้งอินเดียและจีน เริ่มถอนทหารบางส่วน ออกจากบางพื้นที่ทางฝั่งเหนือ และฝั่งใต้ของทะเลสาบผางกงโฉ, ทุ่งหญ้าโกกรา, และหุบเขากัลป์วัน
ตามคำแถลงการณ์ของฝ่ายอินเดีย ที่เผยแพร่ในคืนวันพฤหัสบดี (25 ก.ค.) การพบกันของ รัฐมนตรีต่างประเทศ หวัง อี้ ของจีน กับ รัฐมนตรีต่างประเทศ สุพรหมณยัม ชัยศังกระ ของอินเดีย ในการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศสมาคมอาเซียน ที่ประเทศ สปปป.ลาว เห็นพ้องต้องกัน ถึงความจำเป็นที่จะต้องทำงานอย่างเร่งด่วน ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะบรรลุถึงการถอนกำลังทหารออกห่างจากกัน อย่างสมบูรณ์ในเวลาเร็วที่สุด เพื่อสันติภาพในบริเวณพรมแดนนี้ และฟื้นฟูความสัมพันธ์อย่างเป็นปกติของทั้งสองประเทศ
ในคำแถลงของฝ่ายอินเดีย ยังระบุอีกว่า รัฐมนตรีชัยศังกระ กล่าวถึงประเด็นปัญหาชายแดนนี้ ได้สร้างความร้าวฉาน เหนือสายสัมพันธ์ระหว่างอินเดีย-จีน ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความพยายามของทั้งสองฝ่าย ที่จะแก้ไขคลี่คลายปัญหาดังกล่าว
สำนักข่าวซินหัวของทางการจีน รายงานว่า รัฐมนตรีหวัง ได้เน้นย้ำว่า สายสัมพันธ์จีน-อินเดีย ที่ปรับปรุงยกระดับดีขึ้นนั้น เป็นผลประโยชน์สำหรับทั้งสองประเทศ เช่นเดียวกับสำหรับประเทศอื่นๆ นอกจากนั้น เขากล่าวอีกว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงที่จะทำงานด้วยกัน เพื่อธำรงรักษาสันติภาพ ในพื้นที่ชายแดน และผลักดันให้บังเกิดความก้าวหน้า โดยนายทหารระดับผู้บังคับบัญชา ของอินเดียและจีน ได้จัดการเจรจากันมาหลายรอบ ถึงการถอนกำลังทหาร ออกจากพื้นที่ตึงเครียดให้เร็วที่สุด
สำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่า วี อานันทา นาเกสวารัน หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของอินเดีย สนับสนุนการลงทุนโดยตรงจากจีน เพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกของอินเดียไปทั่วโลก แนวคิดนี้เกิดขึ้น ภายหลังจากที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เดินทางเยือนกรุงนิวเดลี เมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เปรียบเสมือนคนกลาง ช่วยคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างจีนกับอินเดีย พร้อมกับทำลายความวาดหวังของอเมริกา ที่จะเข้ามาแทรกแซง ปลุกระดมชักชวนอินเดีย ให้ร่วมมือต่อต้านจีน
ขณะที่จีน กำลังขยายการค้าอย่างรวดเร็ว กับซีกโลกใต้ รวมถึงอินเดีย ผ่านโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” กลายเป็นการสร้างโอกาส หวนคืนสายสัมพันธ์อีกคำรบหนึ่ง ของ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย
อินเดียหวังใช้ห่วงโซ่อุปทานของจีน นำเข้าชิ้นส่วนและสินค้าทุนจากจีน มาประกอบให้เป็นผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป สนับสนุนอุตสาหกรรมส่งออกของอินเดีย ไปยังประเทศภาคีการค้าทั่วโลก
ขณะที่ความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของจีน จะเป็นประโยชน์ต่ออินเดีย ในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งถนนและระบบราง เข้าไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่ยังมีความต้องการอีกมากมาย ดังรายงานของธนาคารโลก ที่ประเมินว่า อินเดียจำเป็นจะต้องลงทุนเป็นเงินจำนวนกว่า 840,000 ล้านดอลลาร์ ตลอดระยะ 15 ปีข้างหน้า หรือเฉลี่ยปีละ 55,000 ล้านดอลลาร์ ในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับชุมชนต่างๆ ที่กำลังเติบโต และขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ความสัมพันธ์จีน-อินเดีย ที่กลับมาอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง จึงเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย และเป็นความคาดหวังร่วมกันของประเทศต่าง ๆ ในซีกโลกใต้ เป็นสองประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นสองประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ขนาดใหญ่ เป็นสองอารยธรรมโบราณ ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน การรักษาความสัมพันธ์ทวิภาคี ให้พัฒนาอย่างมั่นคง มีความสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการรักษาสันติภาพในภูมิภาค และการส่งเสริมระบบโลกแบบหลายขั้วอำนาจ
