นางสาวสุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนตุลาคม 2566 จากผู้เสียหายหลายรายที่เป็นกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศซึ่งทำงานเป็นพนักงานบริการระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี (ผู้ถูกร้อง) ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มผู้เสียหายในหลายกรณี เช่น เลือกจับกุมกลุ่มผู้เสียหายมากกว่าผู้หญิง จับกุมในขณะที่ยังไม่ได้ทำความผิด หรือไม่ให้ใบเสร็จรับเงินค่าปรับ จึงขอให้ตรวจสอบและขอให้มีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจภายหลังพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ใช้บังคับ ซึ่งมีผลให้ความผิดฐานค้าประเวณีเป็นเพียงโทษปรับทางพินัยไม่ใช่โทษทางอาญา รวมทั้งผลักดันให้มีการยกเลิกความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ด้วย
จากการศึกษาและตรวจสอบปรากฏข้อเท็จจริงว่า ความผิดฐานเข้าติดต่อ ชักชวน แนะนำตัว ติดตาม หรือรบเร้าบุคคลตามถนน หรือสาธารณสถาน หรือกระทำการดังกล่าวในที่อื่นใด เพื่อค้าประเวณี อันเป็นการเปิดเผยและน่าอับอาย หรือเป็นที่เดือดร้อนรำคาญแก่สาธารณชน ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ผู้ให้บริการต้องมีพฤติการณ์ที่ครบองค์ประกอบความผิด 6 ประการ ได้แก่ (1) ผู้กระทำ (2) การกระทำ เช่น เข้าติดต่อ ชักชวน แนะนำตัว หรือรบเร้า (3) วัตถุแห่งการกระทำ คือ บุคคล (4) สถานที่กระทำ เช่น ตามถนนหรือสาธารณสถาน หรือที่อื่นใด (5) เจตนาพิเศษ คือ เพื่อการค้าประเวณี และ (6) ลักษณะการกระทำ คือ เปิดเผยและน่าอับอาย/เป็นที่เดือดร้อนรำคาญแก่สาธารณชน โดยเป็นความผิดที่มีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท และหลังจากพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ใช้บังคับ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องบันทึกวิดีโอขณะควบคุมผู้ต้องหาทุกครั้ง และรายงานการควบคุมตัวไปยังพนักงานอัยการและนายอำเภอท้องที่ที่มีการควบคุมตัวในทุกประเภทคดี อย่างไรก็ดี ไม่มีข้อกำหนดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องส่งไฟล์วิดีโอไปด้วย และในทางปฏิบัติเมื่อสิ้นสุดคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจจะลบไฟล์วิดีโอที่บันทึกไว้
เมื่อพิจารณาการจับกุมบุคคลตามความผิดฐานการค้าประเวณีก่อนพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ใช้บังคับ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2566 พบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจจับกุมและเปรียบเทียบปรับผู้กระทำความผิด ทั้งในกรณีที่มีผู้แจ้งการกระทำความผิดและในกรณีพบความผิดซึ่งหน้า และเมื่อผู้ต้องหายินยอมชำระเงินค่าปรับ พร้อมทั้งลงลายมือชื่อแล้วให้ถือว่าคดีเป็นอันเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 37
ต่อมาเมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 บังคับใช้ ได้กำหนดให้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 อยู่ในบัญชี 1 ท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่ 25 ตุลาคม 2566 ทำให้ความผิดตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 เป็นความผิดทางพินัย ไม่ถือเป็นความผิดอาญาและความผิดทางปกครอง โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจปรับเป็นพินัย คือ เจ้าหน้าที่ของกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) มิใช่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่มีอำนาจนำตัวผู้กระทำความผิดไปบันทึกถ้อยคำที่สถานีตำรวจโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบุคคลนั้น แต่ยังมีหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงและแจ้งไปยัง สค. ซึ่ง สค. จะแจ้งคำสั่งปรับเป็นพินัยตามความผิดฐานค้าประเวณีไปยังภูมิลำเนาหรือที่อยู่ตามทะเบียนบ้านของผู้กระทำผิด อย่างไรก็ดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และ สค. ยังไม่มีแนวทางการดำเนินการที่ชัดเจนในกระบวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจหากพบผู้กระทำความผิดดังกล่าว ทั้งยังมีข้อกังวลว่าการส่งเอกสารแจ้งปรับเป็นพินัยโดย สค. ไปยังที่อยู่ตามภูมิลำเนาของผู้กระทำผิดอาจเป็นการเปิดเผยอาชีพซึ่งกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล
กรณีตามคำร้องเป็นกรณีที่เกิดขึ้นระหว่างเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 มีผลใช้บังคับ การกระทำความผิดตามมาตรา 5 ของกลุ่มผู้เสียหาย จึงยังอยู่ในหน้าที่และอำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ถูกร้อง ชี้แจงเหตุผลการจับกุมกลุ่มผู้เสียหายว่า มีพฤติการณ์สวมเสื้อสายเดี่ยวและยืนบริเวณใต้ต้นมะพร้าวริมชายหาด บางครั้งเดินหายออกไปกับนักท่องเที่ยวชายประมาณ 30 นาทีถึงหนึ่งชั่วโมง ขณะที่คำชี้แจงของกลุ่มผู้เสียหายระบุว่าไม่ได้มีพฤติการณ์รบเร้านักท่องเที่ยวและในบางครั้งขณะที่ผู้ถูกร้องจับกุมไม่มีผู้มาติดต่อขอซื้อบริการด้วย กสม. เห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะขัดแย้งกัน แต่เมื่อนำการกระทำดังกล่าวมาเทียบเคียงกับองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีฯ จะเห็นได้ว่ามาตราดังกล่าวไม่ได้กำหนดเรื่องการแต่งกายและช่วงเวลาในการกระทำความผิดไว้เนื่องจากถือเป็นสิทธิและเสรีภาพส่วนบุคคล นอกจากนี้ยังไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้เสียหายมีพฤติกรรมรบเร้าเข้าชักชวนนักท่องเที่ยวจนสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่สาธารณชน และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังไม่ได้พิสูจน์ว่ามีการค้าประเวณีจริงหรือไม่ เพราะยังไม่ได้สอบข้อเท็จจริงจากผู้ซื้อบริการเป็นหลักฐาน ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่าการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ผู้ถูกร้อง เป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ส่วนกรณีร้องเรียนว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเลือกปฏิบัติ จับกุมผู้ต้องหาที่เป็นกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศมากกว่าผู้หญิง นั้น เมื่อพิจารณาจากสถิติการจับกุมผู้ต้องหาที่กระทำความผิดฐานค้าประเวณี ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน – ตุลาคม 2566 ที่มีการร้องเรียน ปรากฏว่าผู้ถูกร้องจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศ แต่มีการเรียกค่าปรับจากกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศบางคนในอัตราสูงคือ 1,000 บาท ซึ่งแตกต่างกับการปรับผู้ต้องหาหญิงซึ่งปรับในอัตรา 20 – 100 บาท โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าวกลุ่มบุคคลหลากหลายทางเพศบางส่วนลักทรัพย์นักท่องเที่ยว จึงปรับในอัตราสูงเพื่อเป็นการป้องปรามมิให้กระทำความผิดอีก กสม. เห็นว่าการกระทำความผิดถือเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล ไม่อาจนำเพศสภาพมาตัดสินความผิดบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้ กรณีดังกล่าวจึงถือเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องเพศ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สำหรับประเด็นที่ผู้ร้องประสงค์ให้ กสม. ผลักดันให้มีการยกเลิกความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 นั้น ผู้ทรงคุณวุฒิของ กสม. มีความเห็นว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวมีลักษณะเลือกปฏิบัติและไม่สามารถบังคับใช้ได้จริง อีกทั้ง การขายบริการเกิดจากความสมัครใจของผู้ซื้อและผู้ขาย แต่ในกรณีนี้ผู้ขายกลับมีความผิดเพียงฝ่ายเดียว จึงเห็นว่าควรมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย นอกจากนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 กสม. ได้จัดประชุมสมัชชาสิทธิมนุษยชน ครั้งที่ 2 โดยภาคีเครือข่ายมีมติในเรื่องการขจัดการเลือกปฏิบัติ ให้คณะรัฐมนตรี พรรคการเมือง และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 เพื่อคุ้มครองเสรีภาพ ในการประกอบอาชีพโดยสมัครใจและไม่ผิดกฎหมาย โดยได้เสนอมติดังกล่าวไปยังนายกรัฐมนตรีแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 อย่างไรก็ดี ทราบว่า ปัจจุบัน พม.ได้มอบหมายให้ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนประเด็นห่วงใยซึ่งอาจจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อสังคมในวงกว้าง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2567 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งข้อเสนอแนะในการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ ดังนี้
(1) ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กำหนดแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 เกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการและแสวงหาข้อเท็จจริง เมื่อพบผู้กระทำความผิดตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 ให้เหมาะสมกับการกระทำความผิด รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการจัดเก็บไฟล์วิดีโอที่ได้จากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน ทั้งนี้ ให้กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ร่วมกับ ตร. จัดทำแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับลักษณะการกระทำที่เป็นความผิดตามมาตรา 5 เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน
(2) ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายพิจารณาทบทวนแก้ไขระเบียบว่าด้วยการบันทึกภาพและเสียงในขณะจับและควบคุมการแจ้งการควบคุมตัว และการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว พ.ศ. 2566 โดยกำหนดให้ผู้จับกุมและควบคุมตัวต้องส่งไฟล์วิดีโอเพื่อประกอบการพิจารณาของพนักงานอัยการและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง รวมทั้งกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสมในการจัดเก็บและลบไฟล์วิดีโอกรณีคดีอาญาเลิกกัน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบพฤติการณ์จากวิดีโอดังกล่าวประกอบการพิจารณาได้
(3) ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. 2565 ออกระเบียบหรือกำหนดแนวทางการแจ้งคำสั่งปรับเป็นพินัยเกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 โดยต้องไม่ส่งหนังสือคำสั่งไปที่อยู่ที่ปรากฏตามทะเบียนราษฎร เพราะอาจเป็นการเปิดเผยอาชีพที่ส่งผลกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลนั้น