“…เมื่อ “ลูกรักเทวดา” ระดับบอส VVIP ศ.คลินิก สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ที่แม้จะถูกตรวจสอบคุณสมบัติ โดยคณะกรรมาธิการไอซีทีได้มีผลวินิจฉัยออกมาว่า “ขาดคุณสมบัติ” ที่ทำให้น่าจะต้องพ้นสภาพกรรมการและประธาน กสทช. ไปแล้ว แต่ด้วยความที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระ มีความ”พิเศษ (ใส่ไข่)” จึงทำให้ท่านประธานกสทช.ยังคงนั่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้โดยไม่รู้ว่าใช้กฎหมายอะไรรองรับ และแม้มีผู้ร้องนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 20 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ หาอะไรทำให้ บิ๊กบอส vvip แห่งซอยสายลมผู้นี้สะเทือนซางถึงตำแหน่งใดๆ สรุปขาดคุณสมบัติ-หรือไม่ขาด? เนื่องจากกรรมาธิการไอซีทีเคยมีการเปิดเผยรายงานผลวินิจฉัยไปตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 บนเว็บไซท์ของวุฒิสภาแล้วว่า ทั่นประธาน กสทช.”ขาดคุณสมบัติ”ไปแล้วตั้งแต่แรก! เรื่องคุณสมบัติจะผิด-ถูกหรือไม่อย่างไร ไม่มีใครตรวจสอบได้ แต่ แต่ที่รู้แน่ๆก็คือ กรณีนี้คงเป็นอีกเคสของ “บอสระดับ VVIP “ที่ ชาวบ้านร้านรวงตาดำๆคงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ…”
จาก “บอสพอล”…ถึงบอส VVIP สายลม!
เมื่อผลตรวจสอบกรณีอื้อฉาวไร้ค่า
มติ กมธ.หายเข้ากลีบเมฆ!
ยุคที่โลกโซเชียลพากันขุด วีรกรรมของบรรดา “บอส” สุดแสบและสุดแซ่บทั้งหลายเป็นรายวัน
แต่สำหรับ “บอสระดับ VVIP แห่งซอยสายลม” ที่ได้ขื่อว่าเป็น “ลูกรักเทวดา”แล้ว โนสนโนแคร์ ไม่ยี่ล่ะใดๆกับการถูกตรวจสอบ!
เราจึงได้เห็น ปรากฏการณ์ปรองดองก็เกิดขึ้นได้จริงๆ เมื่อ “ลูกรักเทวดา” ระดับบอส VVIP ศ.คลินิก สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ที่แม้จะถูกตรวจสอบคุณสมบัติ โดยคณะกรรมาธิการไอซีทีได้มีผลวินิจฉัยออกมาว่า “ขาดคุณสมบัติ” ที่ทำให้น่าจะต้องพ้นสภาพกรรมการและประธาน กสทช. ไปแล้ว
แต่ด้วยความที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระ มีความ “พิเศษ (ใส่ไข่)” จึงทำให้ท่านประธาน กสทช.ยังคงนั่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ได้โดยไม่รู้ว่าใช้กฎหมายอะไรรองรับ
และแม้มีผู้ร้องนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 20 ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ หาอะไรทำให้ บิ๊กบอส vvip แห่งซอยสายลมผู้นี้สะเทือนซางถึงตำแหน่งใดๆ
ที่น่าแปลกประหลาดใจหนักเข้าไปอีก แม้ผู้ร้องให้ดำเนินการตามกฎหมายดังกล่าว จะได้ดำเนินการตามมาตรา 20 กลับพบว่าหนังสือตอบกลับลงวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 และวันที่ 18 ตุลาคม 2567 ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันร่วม 3 เดือน แต่กลับมีข้อความที่แทบจะเหมือนกัน ทุกกระเบียบนิ้ว ราวกับว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รายระเอียดจากสำนักงานเลขาวุฒิสภาหรืออย่างไร ?
สรุปขาดคุณสมบัติ-หรือไม่ขาด? เนื่องจากกรรมาธิการไอซีทีเคยมีการเปิดเผยรายงานผลวินิจฉัยไปตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2567 บนเว็บไซท์ของวุฒิสภาแล้วว่า ทั่นประธาน กสทช. “ขาดคุณสมบัติ” ไปแล้วตั้งแต่แรก!
แต่เมื่อข่าววงในทำเอกสารหนังสือตอบเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 ของเลขาธิการวุฒิสภาหลุดออกมาก่อน ซึ่งยืนยันชัดเจนว่า “มิได้มีการโต้แย้งข้อเท็จจริง หรือกระบวนการใดๆในเรื่องดังกล่าว” อันเป็นการยืนยันได้ว่า ศ.คลินิก สรณ ขาดคุณสมบัติจริง! (จะมีก็แค่ความย้อนแย้งกับหนังสือ 2 ฉบับของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ตลอด 3 เดือนที่ผ่านกลับไม่มีการดำเนินการอะไรเลยนั้น)
นักกฎหมายหลายท่านจากหลายภาคส่วนได้ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงหนังสือตอบกลับของเลขาธิการวุฒิสภา “ท่านได้ยื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติ และลักษณะต้องห้ามของศาสตราจารย์คลินิก นายแพทย์สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ต่อนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 20 พรบ.กสทช.นั้น ทางสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีย่อมสามารถพิจารณาดำเนินการในเรื่องดังกล่าวตามหน้าที่และอำนาจต่อไปได้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องรอการดำเนินการของวุฒิสภา หรือสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาแต่อย่างใด”
แม้ที่ผ่านมาอาจจะมีการหลงประเด็น เนื่องจากกรณีตรวจสอบคุณสมบัติที่เข้าข่ายมาตรา 18 และยังเข้าข่ายมาตรา 20 แต่เนื่องจากได้รับการโปรดเกล้าฯ เข้ามารับหน้าที่เรียบร้อย เมื่อพบการขาดคุณสมบัติ หรือมีความผิดตามมาตราใดๆ ก็ตาม จึงต้องเป็นไปตามมาตรา 20 แทน และตามมาตราดังกล่าว เมื่อพบการขาดคุณสมบัติ นายกรัฐมนตรีย่อมมีหน้าที่นำความกราบบังคมทูลให้เป็นพระราชวินิจฉัยเพื่อมีพระบรมราชโองการต่อไป
เมื่อย้อนกลับไปดูการพ้นจากตำแหน่งของอดีตกรรมการ กสทช. ก่อนวาระ ไม่ว่าจะเป็นกรณีของ ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ หรือ นางสาว สุภิญญา กลางณรงค์ กสทช. จะเห็นได้ว่า นายกรัฐมนตรีต้องดำเนินการกราบบังคมทูลผ่าน สำนักงานองคมนตรี ซึ่งมีหน้าที่ตรวจสอบวินิจฉัยก่อนทรงมีพระบรมราชโองการทั้งสิ้น
ดังนั้นจากข้อเท็จจริงข้างต้น กรณี ศ.คลินิก สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ เมื่อมีผู้ร้องให้นายกรัฐมนตรีดำเนินการตามมาตรา 20 และแจ้งผลวินิจฉัยกรรมาธิการไอซีทีวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 จากเว็บไซท์วุฒิสภา ว่า “มีมูลความผิดจริง” เข้าข่ายมาตรา 8 ประกอบมาตรา 20 ครรลองในการดำเนินการต่อไปนั้น นายกรัฐมนตรีจึงควรดำเนินการกราบบังคมทูลผ่าน สำนักงานองคมนตรี ให้ตรวจสอบวินิจฉัยก่อนทรงมีพระบรมราชโองการต่อไป
แต่กระนั้นกลับเป็นที่น่าแปลกใจ ทำไมจนถึงวันนี้ วินาทีนี้ กรณีดังกล่าวถึงได้ “หายเข้ากลีบเมฆ” และ ยังไม่มีการดำเนินการใดๆ จนก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์ถึงความเป็นบอสVVIPแห่วซอยสายลมผู้นี้
เมื่อสืบค้นลงไปทุกฝ่ายจึงได้แต่ร้องอ๋อ แม้นเทวดาจะอ่อนแรงไม่ได้ปกป้องอะไรมากแล้ว แต่ข้อมูลเชิงลึกใหม่ที่ทุกฝ่ายต่างแปลกประหลาดใจเมื่อพบว่า ศ.คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ มีศักดิ์เป็นน้า ของ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แห่งพรรคเพื่อไทย (พท.) ด้วยอีก!
ทำให้ทุกฝ่ายถึงบางอ้อ นี่คงไม่ใช่เรื่องทะเลาะเบาะแว้งหรือความขัดแย้งภายใน แต่เป็นการ “สมประโยชน์” ของผู้มีบารมีถึงไม่มีใครแตะต้องได้ เพราะมีเทวดาหลายองค์คอยปกป้อง
เรื่องคุณสมบัติจะผิด-ถูกหรือไม่อย่างไร ไม่มีใครตรวจสอบได้ แต่ แต่ที่รู้แน่ๆก็คือ กรณีนี้คงเป็นอีกเคสของ “บอสระดับ VVIP” ที่ ชาวบ้านร้านรวงตาดำๆคงได้แต่นั่งทำตาปริบๆ
ไม่รู้ว่าชาตินี้จะเห็นหน่วยงานของรัฐที่เป็นอิสระแห่งนี้ปลดโซ่ตรวนจากความฟอนเฟะได้หรือไม่ หรือจะต้องเอวังด้วยประการเช่นนี้ไปตลอดศก เพราะลูกเทวดา “ซูเปอร์บอส VVIP “