วันเสาร์, ธันวาคม 7, 2024
หน้าแรกการเมืองแกะรอยธุรกิจไทยรุดปักหมุดในต่างแดน ขานรับวิชั่น “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า”

Related Posts

แกะรอยธุรกิจไทยรุดปักหมุดในต่างแดน ขานรับวิชั่น “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า”

“… จะว่าไปกลุ่มนักลงทุนไทยที่มีกำลังพอจะออกไป “เบ่งกล้าม” บนเวทีโลก นอกจากเจ้าพ่อกระทิงแดง “เจ้าสัวเฉลียว อยู่วิทยา” และ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี แล้ว  ในระยะหลังก็เห็นจะเป็นกลุ่นทุนพลังงานทั้ง ปตท.PTT กลุ่มบ้านปู และกัลฟ์ เอนเนอร์จี ที่ยังคงมีการลงทุนในต่างประเทศอยูเป็นเนืองๆ ส่วนบริษัทภิบาลในรายที่รัฐบาลในอดีตคอยประคบประหงม แทบจะอุ้มสมกันอย่างออกหน้าออกตา อยากจะควบรวมกิจการค้าปลีก-ค้าส่ง เพื่อจะได้ผงาดเป็นบริษัทบิ๊กบึ้มในระดับภูมิภาค หรือควบรวมกิจการสื่อสารเพื่อจะได้ออกไปผงาดเป็นบริษัทสื่อสารระดับโลกระดับภูมิภาคอะไรนั้น  ฝากท่าน “ผู้นำจิตวิญญาณ” พรรคเพื่อไทยลองสอบถามหน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ที่อนุมัติอุ้มสมกันไปก่อนหน้า (อย่างน่าทุเรศทุรัง) นั้น เขาทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมบ้างหรือยัง?…”

จากค้าปลีกค้าส่ง….ถึงทุนสื่อสาร-พลังงาน

แกะรอยธุรกิจไทยรุดปักหมุดในต่างแดน

ขานรับวิชั่น “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า”

ที่เห็นและเป็นไปก็มีแต่ทุนพลังงาน PTT Gulf บ้านปู ที่ออกไปแข่งตลาดโลกด้วยลำแข้ง แต่รายที่หน่วยงานรัฐอุ้มสม เลี่ยงกฏหมายให้สารพัดเพื่อให้ควบรวมกิจการทั้งค้าปลีก-ค้าส่ง และสื่อสาร ที่อ้างจะได้ผงาดเป็นบิ๊กบึ้มในเอเซียน้ัน มีรายไหนออกไปปักหมุดเป็นรูปธรรมบ้าง???

ควันหลงจากการโชว์วิสัยทัศน์ของ นายทักษิณ ชินวัตร  “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” บนเวที Vision for Thailand 2024 ที่เครือเนชั่นกรุ๊ปจัดขึ้นวันก่อน ที่ยังคงเป็นประเด็นวิพากษ์กันอย่างกว้างขวาง

ทักษิณ ชินวัตร และ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31

โดย 1 ในปัญหาเศรษฐกิจที่ อดีตนายกฯ ทักษิณกล่าวถึงนอกจาก “กับดักหนี้ครัวเรือน” ที่สูงกว่า 90% ในเวลานี้แล้ว ยังมีเรื่องธุรกิจไทยที่อดีตนายกฯ เห็นว่า วันนี้ยังเอาแต่ตั้งรับมุ่งทำมาหากินในประเทศ และมุ่งเน้นการเชื้อเชิญนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุน (ตักตวง)  เสียมากกว่า ตนเองอยากเห็นนักลงทุนไทยออกไปสู้ในเวทีโลกบ้าง โดยรัฐบาลต้องช่วยสนับสนุน

จะว่าไปกลุ่มนักลงทุนไทยที่มีกำลังพอจะออกไป “เบ่งกร้าม” บนเวทีโลก นอกจากเจ้าพ่อกระทิงแดง “เจ้าสัวเฉลียว อยู่วิทยา” และ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี แล้ว

ในระยะหลังก็เห็นจะเป็นกลุ่นทุนพลังงานทั้ง ปตท.PTT กลุ่มบ้านปู และกัลฟ์ เอนเนอร์จี ที่ยังคงมีการลงทุนในต่างประเทศอยูเป็นเนืองๆ

โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจพลังงานที่ออกไปลุยไฟในเวทีโลกในช่วงที่ผ่านมา (โดยที่ภาครัฐแทบจะไม่เคยอุ้มสมให้การสนับสนุนอะไรนั้น) อย่าง กลุ่มบ้านปูเพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP ที่ออกไปลงทุนด้านกิจการโรงไฟฟ้าและเหมืองถ่านหินทั่วโลกมาแล้ว ทั้งในสหรัฐ จีน อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย

ล่าสุดยังออกมาตีปี๊บผลดำเนินงานครึ่งแรกของปีนี้ที่มีกำไรอู้ฟู่กว่า 1,600 ล้าน จากโรงไฟฟ้าแฝด Temple1-Temple II ในสหรัฐ รวมทั้งโรงไฟฟ้า HPC ใน สปป.ลาว กับการขยายลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Ponder Solar ในมลรัฐเท็กซัส อีกด้วย

กลุ่มพลังงานไทยอีกรายที่ออกไปลุยไฟลงทุนในต่างประเทศมาอย่างโชกโชน ก็คือ “กัลฟ์เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์จำกัด (มหาชน) หรือ Gulf ที่ผู้บริหาร “เสี่ยกลาง-สารัตถ์ รัตนาวะดี” ที่ไปโผล่อยู่ข้างกายนายใหญ่แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้าอยู่เนืองๆ นั่นแหละ ที่นอกจากจะประกาศเดินหน้าควบรวมกิจการ INTUCH ให้ฮือฮากันไปล่าสุดแล้ว

ในแง่ของการลงทุนต่างประเทศด้านพลังงานของ Gulf ก็ไม่ธรรมดาลุยไฟลงทุนต่างประเทศมาหมดแล้ว ทั้งในเวียดนาม โอมาน เยอรมนี สหรัฐ และอังกฤษ รวมทั้งใน  สปป.ลาวเพื่อนบ้าน ล่าสุดตัวผู้บริหารกัลฟ์ยังประกาศจะรุกลงทุนเพิ่มเติมในตะวันออกกลางอีกด้วย

สำหรับกลุ่ม ปตท.PTT นั้นน่าจะถือเป็นที่สุดของธุรกิจพลังงานไทยที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศเป็นหน้าเป็นตาของรัฐบาลโดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการลงทุนขุดเจาะสำรวจแหล่งพลังงาน ค้าน้ำมันดิบ และคอนเดนเสท ก๊าซธรรมชาติ (ยกเว้นกิจการปาล์มน้ำมันในอิโดนีเซีย 20,000 ล้านที่ลงทุนแล้วสูญ) โดย ปตท. และบริษัทลูก มีการลงทุนในต่างประเทศและมีเครือข่ายพันธมิตรอยู่ทั่วโลกนับไม่ถ้วน  

ส่วนบริษัทภิบาลในรายที่รัฐบาลในอดีตคอยประคบประหงม แทบจะอุ้มสมกันอย่างออกหน้าออกตา อยากจะควบรวมกิจการค้าปลีก-ค้าส่งเพื่อจะได้ผงาดเป็นบริษัทบิ๊กบึ้มในระดับภูมิภาค หรือควบรวมกิจการสื่อสารเพื่อจะได้ออกไปผงาดเป็นบริษัทสื่อสารระดับโลกระดับภูมิภาคอะไรนั้น

ฝากท่าน “ผู้นำจิตวิญญาณ” พรรคเพื่อไทยลองสอบถามหน่วยงานอย่าง สำนักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า (กขค.) และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ที่อนุมัติอุ้มสมกันไปก่อนหน้า (อย่างน่าทุเรศทุรัง) นั้น เขาทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมบ้างหรือยัง?

ที่เห็นและเป็นไป กลับเป็นเรื่องของการแพร่ระบาด “ปลาหมอคางดำ” ที่บริษัทภิบาลรายนี้ออกมา “ปัดสวะ” ยืนยัน นั่งยัน (และตะบันหมากยัน) ว่า ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่รู้มันว่ายข้ามน้ำข้ามทะเลจากประเทศกาน่า ในทวีปอาฟริกาเข้ามายังไทยได้อย่างไร?

ส่วน โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)วงเงินลงทุนกว่า 2.24 แสนล้าน ที่รัฐให้สัมปทานออกไปตั้งแต่ปี 2562 ตีฆ้องร้องเปล่า จะเป็นแม่เหล็ก ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศให้กระหึ่มเมืองอะไรนั้น

ผ่านมาวันนี้ กว่า 5 ปีเข้าไปแล้ว ตอกเสาเข็มไปสักต้นหรือยัง วาน “ท่านนายกแพ้ทองทาน ชินวัตร” และท่าน “ผู้นำจิตวิญญาน” พรรคเพื่อไทยตรวจสอบต้นสายปลายเหตุหน่อยเป็นไร? ทำไมถึงไม่ขยับไปไหนเสียที! ทีกับโครงการในลักษณะเดียวกันคือทางรถไฟยกระดับ “โฮปเวลล์” ที่แม้จะก่อสร้างล่าช้า (แต่ก็ก่อสร้าง-จ่ายค่าสัมปทาน) 5 ปีคืบหน้าแค่ 15-20%

รัฐบาลและกระทรวงคมนาคมทำอย่างไรรู้ไหม๊? ส่งหนังสือบอกเลิกสัญญาสัมปทานเขาทันทีครับ ฯพณฯ ท่าน!!!

#สืบจากข่าว รายงาน

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts