“…ความสำเร็จในแทบทุกด้านของจีนวันนี้ มิใช่การไล่กวดหรือทำได้เหมือนคนอื่น แต่เกือบทั้งหมดคือการ”ทะลุสู่มิติใหม่” ที่มนุษย์เรายังไม่เคยทำมาก่อน ส่งให้จีนมายืนอยู่ในหัวแถวของสังคมโลก จีนกลายเป็นประเทศที่คนทั้งโลกให้ความสนใจเป็นพิเศษ ยืนยันในความสำเร็จของจีนในการสร้างชาติและสังคมทันสมัยแบบจีนที่ชาวจีนทั่วไปได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ตามหลักการสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน ที่ชี้นำการบริหารของรัฐบาลจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีสีจิ้นผิงเป็นแกนนำ สอดคล้องกับแนวปฏิบัติพื้นฐานที่จีนกำลังเชิดชูอยู่สองประการคือ “พูดแล้วต้องทำได้จริง” หรือ”เอี๋ยนปี้ซิ่น” (言必信) และ”ทำแล้วต้องเห็นผลชัดเจน” หรือ”สีงปี้กั่ว” (行必果) ซึ่งเมื่อลงมือทำแล้วก็จะทำกันอย่างรวดเร็วชนิดหายใจหายคอไม่ทันในอัตราความเร็วที่ทั่วโลกต้องทึ่งและอึ้งไปตามๆกัน กลไกทางสังคมชนิดนี้หาไม่ได้ในตำราการบริหารจัดการของโลกตะวันตก ที่แต่ละกลุ่มทุนต่างมีฐานประโยชน์เฉพาะตนที่ไม่ขึ้นต่อส่วนรวม ที่สำคัญคือจีนมีฐานการผลิตที่เป็นปึกแผ่นแน่นหนาที่สุด มีบุคลากรทางด้านนวัตกรรมจำนวนมหาศาล พร้อมรองรับการขับเคลื่อนไปสู่อนาคตแบบทะลุทะลวงได้อย่างไม่สิ้นสุด…”
พูดแล้วต้องทำได้จริง
ทำแล้วต้องเห็นผลชัดเจน
言必信 行必果
ความสำเร็จในแทบทุกด้านของจีนวันนี้ มิใช่การไล่กวดหรือทำได้เหมือนคนอื่น แต่เกือบทั้งหมดคือการ”ทะลุสู่มิติใหม่” ที่มนุษย์เรายังไม่เคยทำมาก่อน ส่งให้จีนมายืนอยู่ในหัวแถวของสังคมโลก และเป็นที่จับตาของชาวโลกว่าจีนจะพาโลกก้าวเดินไปทางไหน
จีนกลายเป็นประเทศที่คนทั้งโลกให้ความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากจีนเดินเกมเปิดฟรีวีซ่าให้ชาวต่างประเทศเข้าจีนได้ง่ายมากขึ้น โฉมหน้าจีนใหม่ได้สร้างความแปลกและแตกตื่นไปทั่วโลกในความเจริญรุ่งเรืองทันสมัยและสะอาดปลอดภัยเหนือจินตนาการ อันเป็นภาพตรงกันข้ามกับอดีตที่สื่อตะวันตกพยายามนำเสนออย่างสิ้นเชิง
จีนในความรับรู้ของชาวโลกวันนี้จึงได้เอียงมาทางด้านยอมรับและยืนยันในความสำเร็จของจีนในการสร้างชาติและสังคมทันสมัยแบบจีนที่ชาวจีนทั่วไปได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ตามหลักการสร้างความมั่งคั่งร่วมกันที่ชี้นำการบริหารของรัฐบาลจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีสีจิ้นผิงเป็นแกนนำ
ดังนั้นความเชื่อที่ว่า ทุกวันนี้มีแต่จีนเท่านั้นที่เดินหน้าสร้างสิ่งใหม่ๆได้สำเร็จอย่างต่อเนื่อง ชนิดเห็นได้ชัด เข้าใจได้จริง จึงเป็นแนวโน้มที่น่าสนใจยิ่ง เพราะมันสอดคล้องกับแนวปฏิบัติพื้นฐานที่จีนกำลังเชิดชูอยู่สองประการคือ
ประการแรก”พูดแล้วต้องทำได้จริง” หรือ”เอี๋ยนปี้ซิ่น” (言必信)
ประการที่สอง”ทำแล้วต้องเห็นผลชัดเจน” หรือ”สีงปี้กั่ว” (行必果)
และเมื่อลงมือทำแล้วก็จะทำกันอย่างรวดเร็วชนิดหายใจหายคอไม่ทันในอัตราความเร็วที่ทั่วโลกต้องทึ่งและอึ้งไปตามๆกัน
แต่จีนก็ทำได้เสมอด้วยความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น บวกกับความพลิกแพลงทางความคิดเทคนิควิธีการ ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ล้ำยุคเช่นปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ การสื่ื่อสาร5-6G และควันตัม เป็นต้นมาประยุกต์ใช้ ตลอดจนการระดมระบบกลไกของระบอบสังคมนิยมที่สามารถรวมพลังสร้างงานใหญ่ได้เสมอ เพื่อส่วนรวมและประชาชนโดยรวม ซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นข้อได้เปรียบสำคัญพื้นฐานของการบริหารประเทศจีนยุคใหม่
กลไกทางสังคมชนิดนี้หาไม่ได้ในตำราการบริหารจัดการของโลกตะวันตก ที่แต่ละกลุ่มทุนต่างมีฐานประโยชน์เฉพาะตนที่ไม่ขึ้นต่อส่วนรวม
การทะลุทะลวงไปสู่อนาคตของจีนโดยปริยาย จึงกลายเป็นความคาดหวังของคนทั้งโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เห็นได้จากความกระตือรือร้นที่จะเข้าร่วมในกิจกรรมอวกาศจีน โดยเฉพาะการไปลงดวงจันทร์
โดยเมื่อจีนประกาศแผนสำรวจดวงจันทร์ถึงระดับส่งคนไปลงดวงจันทร์และสร้างฐานปฏิบัติการบนดวงจันทร์ภายในปีคศ.2030 ซึ่งต่อมาได้ร่นเวลาเร็วขึ้นเป็นภายในคศ.2027 แล้วนั้น
ปรากฏว่ามีประเทศต่างๆกว่าสิบประเทศนำเสนอโครงการความร่วมมือกับจีน และได้รับการพิจารณาเข้าร่วมโครงการด้วยจำนวนหนึ่งซึ่งรวมทั้งประเทศไทยด้วย
อีกโครงการหนึ่งก็คือการส่งยานไปเก็บดินดาวอังคารกลับโลกซึ่งเดิมทีจะกระทำกันภายในปีคศ.2030 ก็ได้ร่นมาเป็นปีคศ.2028
ตรงกันข้ามกับสหรัฐฯที่ประกาศเลื่อนไปเป็นปี2040
การร่นเวลาเร็วขึ้นย่อมหมายถึงว่าจีนประสบความสำเร็จมากขึ้นในเทคโนโลยีอวกาศอย่างรอบด้าน ทั้งด้านจรวดส่งยานอวกาศขนาดใหญ่ ระบบการสื่อสารระหว่างดวงดาวและอื่นๆอีกมากมาย โดยทั้งหมดนั้นดำเนินไปตามแผนที่กำหนดไว้ล่วงหน้าทั้งระยะสั้นและยาว โดยความร่วมมือกันของหน่วยงานภาครัฐ สถาบันวิจัย มหาวิทยาลัยต่างๆ ตลอดจนบริษัทเอกชนที่นับวันมีบทบาทมากขึ้น
ที่สำคัญคือจีนมีฐานการผลิตที่เป็นปึกแผ่นแน่นหนาที่สุด มีบุคลากรทางด้านนวัตกรรมจำนวนมหาศาล พร้อมรองรับการขับเคลื่อนไปสู่อนาคตแบบทะลุทะลวงได้อย่างไม่สิ้นสุด
ไขคำจีน
言 เอี๋ยน คำพูด
行 สีง การกระทำ