“….ไม่รู้นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร จะมองเห็นความไม่ชอบมาพากลที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้พรมภายใต้ข้อเสนอแก้ไขสัญญาสัมปทานไฮสปีดเทรนครั้งนี้หรือไม่ ?
เหตุใดสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ถึงออกโรงทักท้วงว่าแนวทางแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ทำลายหลักการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน ยังแต่จะทำให้รัฐเสียประโยชน์ทั้งในอนาคต แถมอาจทำให้รัฐต้องเผชิญกับค่าโง่ตามมาด้วย…”
จากเขากระโดง….ถึงไฮสปีดเทรนเชื่อม3สนามบิน(อีกที)
ระวังต้องจบลงด้วยค่าโง่แสนล้าน!
หัวจะปวดกับการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) และสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ต่อกรณีการแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟความเร็งสูงเชื่อม 3สนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) วงเงินลงทุนกว่า 224,544 ล้านบาท 1 ในโครงการแม่เหล็กสำคัญของเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) ที่ผ่านมากว่า 5 ปีแล้ว นับแต่การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลงนามในสัญญากับบริษัท เอเซียเอราวัน จำกัดของกลุ่มทุน ซีพี.เมื่อ 24 ต.ค.62 แต่จนถึงวันนี้กลับไม่มีความคืบหน้าใด ๆ
ที่เห็นและเป็นไปมีแต่ความพยายามเจรจาแก้ไขสัญญาสัมปทาน แก้ไขกันจนปรุ จนแทบไม่เหลือเค้าลางของสัญญาร่วมลงทุนที่มีการประมูลกันไว้ตั้งแต่แรก ด้วยข้ออ้างเพราะวิกฤตเศรษฐกิจและสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 รวมทั้งผลกระทบจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย ยูเครน ที่เป็น “เหตุสุดวิสัย”
ทั้งที่โครงการลงทุนรัฐอื่นๆไม่ยักจะมีรายไหนหยิบยกมาเป็นข้ออ้างขอแก้สัญญากันเป็นวรรคเป็นเวรขนาดนี้
จนหลายฝ่ายสัพยอก สกพอ.และรัฐบาลว่า นี่หากรัฐบาลไทยระหองระแหงกับกัมพูชาในเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ทรัพยากรใต้ทะเลบนพื้นที่ทับซ้อนรอบเกาะกูด จนลาวยาวกันไปสัก 5-10 ปี ก็ไม่รู้จะมีการหยิบยกประเด็นนี้มาขอให้รัฐผ่อนปรนหรือแก้ไขสัญญาสัมปทานในประเด็นอื่นๆตามมาอีกหรือไม่?
ล่าสุดนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.)ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเองว่า เหตุผลในการขอแก้ไขสัญญานี้ที่อ้างเป็น “เหตุสุดวิสัย” นั้น มองว่าเรื่องนี้ไม่มีเหตุสุดวิสัย เป็นเพียงการผ่อนปรน เพราะในช่วงโควิด-19 ทุกภาคส่วนและทั่วโลกประสบปัญหาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางหยุดชะงัก ธุรกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกก็หยุดชะงัก
“โครงการนี้ไม่ได้มีเหตุสุดวิสัย แต่เป็นเพียงการผ่อนปรนเงื่อนไขในสัญญา โดยสัญญาจะกำหนดเงื่อนไขการชำระเงิน เป็นการแบ่งจ่ายระยะเวลา 10 ปี โดยทางผู้รับสัมปทานจะมีการนำเอกสารทางการเงินเต็มจำนวนมาวางค้ำประกัน”
ขณะที่ นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการ รฟท.ก็ออกตัวหลังคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) มีมติเห็นชอบหลักการแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการนี้ใน 5 ประเด็นไปก่อนหน้า เพื่อผลักดันโครงการดำเนินการต่อไปได้ แต่จนกระทั้งบัดนี้ยังไม่มีการนำเสนอ ครม.พิจารณาอนุมัติ จนส่งผลให้เกิดความล่าช้า และอาจกระทบแผนการลงทุนในโครงการอื่น ๆ ด้วยว่า
หากท้ายที่สุดรัฐบาลไม่เห็นชอบกับการแก้ไขสัญญาสัมปทานและสั่งให้รถไฟดำเนินโครงการต่อ รฟท.ก็พร้อมดำเนินการก่อสร้างเอง แต่คงไม่ขอเดินรถเอง หากคู่สัญญา “เอเชีย เอราวัน” ไม่สามารถดำเนินโครงการได้
ฟังเหตุผลของผู้ว่า รฟท.และประธานกพอ.ข้างต้นแล้ว ก็ไม่รู้นายกฯแพทองธาร ชินวัตร จะมองเห็นความไม่ชอบมาพากลที่ซ่อนเร้นอยู่ใต้พรมภายใต้ข้อเสนอแก้ไขสัญญาสัมปทานไฮสปีดเทรนครั้งนี้หรือไม่ ?
เหตุใดสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.)ถึงออกโรงทักท้วงว่าแนวทางแก้ไขสัญญาสัมปทานที่ทำลายหลักการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน และยังแต่จะทำให้รัฐเสียประโยชน์ทั้งในอนาคตซึ่งอาจทำให้รัฐต้องเผชิญกับค่าโง่ตามมาด้วยอีก
การที่ประธาน กพอ.ออกมายอมรับอย่างหน้าชื่นว่า เหตุผลในการแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการ เพียงเพื่อให้โครงการนี้เดินหน้าต่อไปได้ เพราะเป็นโครงการสำคัญของอีอีซี ไม่ได้เกิดจากเหตุสุดวิสัยที่มาจากพวงวิกฤตเศรษฐกิจหรือไวรัสโควิดแต่อย่างใดนั้น
สะท้อนให้เห็นอยู่แล้วว่าความพยายามในการแก้ไขสัญญาสัมปทานโครงการนี้รังแต่จะเรียกแขกให้งานเข้าและหากในอนาคตเกิดปัญหาขึ้น หนีไม่พ้นที่รฟท.และรัฐบาลเองนั่นแหละจะต้องรับฺผิดชอบไปเต็มๆ
และหากรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขสัญญา รฟท.ก็บอกเองว่า พร้อมที่จะดำเนินการก่อสร้างโครงการเอง เพราะมีประสบการณ์ในการก่อสร้างรถไฟไทย-จีนอยู่แล้ว (เพียงแต่รัฐต้องจัดหางบประมาณก่อสร้างให้เพราะรฟท.คงไม่สามารถจะจัดสรรงบลงทุนเองได้)
ในเมื่อรฟท.สามารถที่จะประมูลก่อสร้างได้เองแบบเดียวกับรถไฟไทย-จีน(ที่แม้จะล่าช้าอืดเป็นเรือเกลือ) ก็แล้วเหตุใดถึงจะให้เอกชน”จับเสือมือเปล่า”จากการแก้ไขส้ญญาสัมปทานที่กำลังดั้นเมฆอยู่นี้
จะว่าไป รฟท.เองก็มีการตั้งที่ปรึกษาและคณะที่ปรึกษาด้านต่างๆเต็มลำเรืออยู่ไม่ใช่หรือ อย่างคณะทำงานศึกษาด้านกฏหมายและสัญญาที่มีนายดำรงศักดิ์ เครือแก้ว เป็นประธาน คณะทำงานศึกษาติดตามปัญหาการดำเนินโครงการของการรถไฟที่มีนายพิสิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส อดีตผู้ว่าการสตง.เป็นประธานด้วยอีก
ก็แล้วเหตุใดจึงไม่ส่งเรื่องแก้ไขสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม3สนามบินนี้ให้คณะทำงานทั้ง2ชุดได้ชำแหละออกมาให้รู้ดำรู้แดง จะได้รู้ว่าการแก้ไขสัญญาที่ดำเนินการไปก่อนหน้าและที่กำลังดำเนินการอยู่นี้ทำลายหลักการร่วมลงทุนทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือไม่ สกพองและกพอ.มีอำนาจท่ี่จะดำเนินการโดยลำพังหรือไม่
ไม่แปลกใจเลยที่เหตุใดกรณีการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดิน”เขากระโดง”ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ที่แม้ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำพิพากษาว่าเป็นที่ดินของการรถไฟฯตั้งแต่ปีมะโว้ แต่กลับไม่สามารถจะบังคับใช้กฏหมายให้สะเด็ดน้ำ จนป่านนี้ยังไม่สามารถผลักดันนายทุนผู้มีอิทธิพล หรือนักการเมืองออกจากพื้นที่ได้
แล้วอย่างนี้จะให้ประชาชนคนไทยเชื่อใจได้อย่างไรว่า การแก้ไขสัญญาสัมปทานไฮสปีดเรนเชื่อม3สนามบินที่กำลังดั้นเมฆดำเนินการอยู่นี้จะยังประโยชน์ให้รัฐ หรือไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์หรือเผชิญค่าโง่ในภายหลังเอาได้ จริงไม่จริง!!!