
(กสม. แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 18/2568) กสม. ประสานการแก้ไขปัญหากรณีการจ้างเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงทั่วประเทศ ยืนยันหลักการด้านสิทธิแรงงาน – ตรวจสอบโครงการระบบโครงข่ายไฟฟ้าของ กฟผ. ในพื้นที่ อ.สองแคว จ.น่าน แนะให้ตรวจสอบสิทธิมนุษยชนรอบด้านและเร่งศึกษาวิจัยผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น – เชิญชวนสมัครหรือเสนอชื่อบุคคลและองค์กรที่มีผลงานดีเด่นด้านสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2568
วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และนางสาวศยามล ไกยูรวงศ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ ครั้งที่ 18/2568 โดยมีวาระสำคัญ 3 วาระ ดังนี้
นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากสมาพันธ์เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียนแห่งประเทศไทย และเครือข่ายลูกจ้างนักการภารโรงสี่ภาค เมื่อเดือนมีนาคม 2568 ระบุว่า เจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน จำนวนกว่า 9,000 อัตรา นักการภารโรง จำนวนกว่า 20,000 อัตรา ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) (ผู้ถูกร้อง) ซึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวตามสัญญาจ้างรายปี ได้รับผลกระทบจากการที่ สพฐ. ปรับเปลี่ยนสัญญาจ้างงานจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (1 ตุลาคม 2567) เป็นต้นมา โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ไม่มีการเจรจาต่อรอง และใช้กฎระเบียบบีบบังคับให้ต้องลงนามรับสภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างงาน ทำให้ได้รับความเดือดร้อน ถูกยกเลิกประกันสังคมตามมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกองทุนเงินทดแทน ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมถึงไม่ได้รับสิทธิการลาป่วย การลาพักผ่อน ไม่มีเงินค่าเสี่ยงภัย ได้รับเงินเดือนล่าช้า จึงร้องเรียนขอความช่วยเหลือ
กสม. เห็นว่าเรื่องร้องเรียนดังกล่าวสามารถแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วได้โดยการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อเดือนเมษายน 2568 กสม. จึงได้จัดประชุมร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ผู้ทรงคุณวุฒิ สพฐ. และผู้ร้องทั้งสองกลุ่ม เพื่อหารือถึงแนวทางแก้ไขปัญหาตามคำร้อง โดยปรากฏข้อเท็จจริง สรุปว่า
ตำแหน่งธุรการโรงเรียนและตำแหน่งนักการภารโรง ได้รับเงินค่าจ้างเดือนละ 15,000 บาท และ 9,000 บาท หากหยุดงานจะถูกหักเงินวันละ 500 และ 300 บาท ตามลำดับ แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนสัญญาจ้างจากลูกจ้างชั่วคราวเป็นการจ้างเหมาบริการ แต่การปฏิบัติงานยังคงเป็นลักษณะเดิม กล่าวคือ มีการลงเวลาปฏิบัติงาน มีสายการบังคับบัญชา ต้องรับคำสั่งจากผู้อำนวยการโรงเรียน ซึ่งเป็นลักษณะของการจ้างแรงงานมิใช่การจ้างเหมาบริการที่ประเมินผลเป็นชิ้นงานแต่อย่างใด
ในปี 2552 สพฐ. ได้รับงบประมาณสนับสนุนการจ้างลูกจ้างชั่วคราวจากโครงการไทยเข้มแข็ง (พ.ศ.2553-2555) จึงนำงบประมาณมาจ้างบุคลากรสายสนับสนุนการศึกษา ภายหลังสิ้นสุดโครงการฯ สพฐ. ได้จ้างผู้ร้องทั้งสองกลุ่มเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในสถานศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งงบประมาณในหมวดงบดำเนินงานตามกรอบอัตรากำลัง เพื่อนำงบประมาณมาจ่ายสมทบค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนให้แก่ผู้ร้องทั้งสองกลุ่ม โดยไม่ได้ทำข้อตกลงกับกรมบัญชีกลางก่อนการจ้าง ซึ่งไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2566 ตามหลักการงบประมาณการจ้างลูกจ้างชั่วคราวต้องจัดทำคำของบประมาณในหมวดบุคลากร ต่อมาสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ท้วงติงว่ากรณีดังกล่าวเป็นการใช้งบประมาณไม่ถูกหมวด จึงได้เสนอแนะให้จัดทำคำของบประมาณในการจ้างลูกจ้างให้ถูกต้องตามหมวด อย่างไรก็ดี เมื่อ สพฐ. ยังไม่ได้จัดทำข้อตกลงกับกรมบัญชีกลาง จึงไม่สามารถจัดทำคำของบประมาณเพื่อสมทบการจ่ายค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนได้ ดังนั้น ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ผู้ถูกร้องจึงตั้งงบประมาณการจ้างผู้ร้องทั้งสองในหมวดงบรายจ่ายอื่นไปพลางก่อน จึงทำให้รูปแบบของสัญญาจ้างเปลี่ยนไป เป็นในลักษณะของสัญญาจ้างเหมาบริการ
กรณีการแก้ไขปัญหาดังกล่าว สพฐ. ผู้ถูกร้อง ได้หารือไปยังกรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และได้ตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาลักษณะงาน โดยมีแผนเสนออัตราบุคลากรเพื่อทำข้อตกลงเป็นลูกจ้างชั่วคราวกับกรมบัญชีกลาง แยกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 ลักษณะงานวิชาการเช่นเดียวกับข้าราชการกว่า 44,600 อัตรา และกลุ่มที่ 2 นักการภารโรง แม่ครัว กว่า 27,500 อัตรา ผู้ถูกร้องได้ทำหนังสือแจ้งกรมบัญชีกลางเมื่อเดือน เมษายน 2568 โดยกรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติคำขออัตรากำลังลูกจ้างชั่วคราวของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ได้พิจารณาผลการประสานการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนแล้ว เห็นว่า กรณีดังกล่าว สพฐ. ผู้ถูกร้องได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาและจัดทำข้อมูลลักษณะการปฏิบัติงานในตำแหน่งธุรการโรงเรียนและนักการภารโรงส่งไปยังกรมบัญชีกลาง เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน จึงมีมติให้ดำเนินการดังนี้
(1) มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณสำหรับการจ้างงานลูกจ้างกลุ่มเจ้าหน้าที่ธุรการโรงเรียน และนักการภารโรง เป็นลูกจ้างชั่วคราวเช่นเดิม พร้อมทั้งสมทบค่าประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทน เพื่อเป็นการเยียวยาในระยะเร่งด่วน
(2) มีหนังสือถึงสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ( คปร. ) เพื่อยืนยันหลักการด้านสิทธิแรงงาน ตามที่ได้รับการรับรองคุ้มครองไว้ตามรัฐธรรมนูญ กติการะหว่างประเทศ และหรือหลักการอื่นและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา
(3) มีหนังสือถึง สพฐ. ผู้ถูกร้อง ให้กำชับติดตามความคืบหน้าการดำเนินการดังกล่าวไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป