“…“ลุงป้อม” อัดภาษี NIT สร้างภาระ “คนจน” ช่วย “คนรวย” กระทบเกษตรกรและผู้มีรายได้ต่ำ 40-50 ล้านคน ตั้งคำถาม “เหตุใดไม่เร่งจัดเก็บภาษีจากกลุ่มผู้มีรายได้สูง และธุรกิจซับซ้อน เช่น การปลูกต้นมะนาวหรือต้นกล้วย ในที่ดินราคาแพงกลางเมือง เพื่อหลบภาษี โรงงานผลิตเหล็กของชาวต่างชาติที่ไม่ได้มาตรฐานและหนีภาษี หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่หาผลประโยชน์จากโฆษณาในไทย”…”

จากกรณีที่มีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้หยิบยกนโยบายภาษี Negative Income Tax หรือ NIT ซึ่งรัฐบาลบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี ภายในปี 2570
จากปัจจุบัน คนที่มีภาระหน้าที่ ที่จะต้องยื่นแบบภาษี จำกัดเฉพาะผู้มีรายได้เกินกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ คือ 1 หมื่นบาทต่อเดือน หรือมีรายได้ปีละ 1.2 แสนบาท มีภาระหน้าที่จะต้องยื่นแบบภาษี ซึ่งมีประมาณ 10 ล้านคนเศษ
แต่ในปี 2570 เป็นต้นไป ผู้ที่จะต้องยื่นแบบภาษี ไม่ใช่เฉพาะผู้มีรายได้เกินกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำ แต่กำหนดให้ประชาชนทุกคน ต้องยื่นแบบภาษี
โดยรัฐบาลให้เหตุผลว่า เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการสร้างรัฐสวัสดิการ เป็นการปูทางให้รัฐบาล สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือสำหรับผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ได้โดยสะดวก

พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า นโยบายดังกล่าวไม่ต่างจากการบีบ “คนจน” เอื้อ “คนรวย”
เหมือนก่อนหน้านี้ รัฐบาลเพื่อไทย เคยมีการเสนอแนวความคิด จะเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 7% เป็น 10%
และตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศ ยังไม่มีนโยบายใดๆ ที่จะเก็บภาษีจากผู้ที่มีรายได้จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มทุน กลุ่มพลังงาน กลุ่มอุตสาหกรรมรายใหญ่ หรือ กลุ่มค้าส่งรายใหญ่ นอกจากแนวความคิด เก็บภาษีจากผู้มีรายได้น้อย เช่น นโยบายให้ผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ต้องยื่นแบบภาษีประจำปี ตามแนวทางภาษี NIT

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ว่า พลเอกประวิตร หัวหน้าพรรค ฝากย้ำว่า พรรคพลังประชารัฐ ไม่ขัดข้องในแง่ของนโยบาย และแนวความคิด ที่รัฐบาลจะทำการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มที่มีรายได้น้อย แต่เมื่อได้พิจารณาอย่างถ้วนถี่พบว่า นโยบายภาษี NIT มีแต่จะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างกว้างขวาง
เหตุผลที่อ้างว่า เป็นการเปิดทางให้รัฐบาลช่วยเหลือเงินให้กับผู้มีรายได้น้อย แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด กลับเป็นการสร้างภาระให้กับผู้มีรายได้น้อยมากกว่า
ปัจจุบันจำนวนประชาชนที่จะต้องยื่นแบบภาษี มีประมาณ 10 ล้านคนเศษ หากประกาศใช้ภาษี NIT ผู้ยื่นแบบภาษีจะเพิ่มเป็น 40-50 ล้านคน สร้างภาระอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร 25-30 ล้านคน ที่ไม่คุ้นชินกับระบบภาษี จะต้องเสียค่าใช้จ่ายจ้างทำบัญชี และหากกรอกข้อมูลผิดพลาด ยังเสี่ยงถูกดำเนินคดี ตามกฎหมายภาษี ทั้งทางแพ่งและทางอาญา
พรรคพลังประชารัฐ ตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่า เหตุใดไม่เร่งแก้ปัญหาการจัดเก็บภาษี จากกลุ่มผู้มีรายได้สูง และธุรกิจซับซ้อน รวมถึงต่างชาติที่ยังไม่เสียภาษีอย่างถูกต้อง เช่น การปลูกต้นมะนาวหรือต้นกล้วย ในที่ดินราคาแพงกลางเมือง เพื่อหลบภาษีอัตราแพง โรงงานผลิตเหล็กของชาวต่างชาติที่ไม่ได้มาตรฐานและหนีภาษี หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่หาผลประโยชน์จากโฆษณาในไทย แต่รัฐบาลกลับไม่หาหนทางเก็บภาษี
ส่วนที่รัฐบาลนำนโยบายภาษี NIT เปรียบเทียบกับต่างประเทศนั้น ประเทศที่พรรคเพื่อไทยอ้างถึง เช่น สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ล้วนเป็นประเทศที่มีฐานะร่ำรวย
และถึงแม้มีการทดลองนโยบายภาษี NIT แต่ก็ยังไม่มีประเทศใดในโลก บังคับให้ประชาชนทุกคนต้องยื่นแบบภาษี
ประเทศไทยมีฐานข้อมูลประชาชนรายได้น้อยอยู่แล้ว จากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ คนละครึ่ง และเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทันที
จึงขอให้รัฐบาลทบทวนอย่างจริงจัง เพราะนโยบายนี้ จะสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนวงกว้าง โดยเฉพาะเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย ที่กลายเป็นผู้แบกรับภาระหนักมาก
#สืบจากข่าว รายงาน