วันอังคาร, กันยายน 2, 2025
หน้าแรกอาชญากรรม"ผู้เสียหาย“ บุกร้อง ”ดีเอสไอ“ ขอความเป็นธรรม ผลสั่งคดี - พิจารณาคืนทรัพย์ถูกอายัดในคดีโกงเงินธนาคารทหารไทย

Related Posts

“ผู้เสียหาย“ บุกร้อง ”ดีเอสไอ“ ขอความเป็นธรรม ผลสั่งคดี – พิจารณาคืนทรัพย์ถูกอายัดในคดีโกงเงินธนาคารทหารไทย

ยืนยันความบริสุทธิ์ใจไม่เคยทำธุรกรรมกู้เงินธนาคารโดยตรง เพียงยืมเงินนิติบุคคลใช้หมุนเวียนธุรกิจส่วนตัว ปัดร่วมขบวนการโกง-ฟอกเงิน พ้อคดีนาน 9 ปีสิ้นเนื้อประดาตัว ขณะที่ทรัพย์สินอาคารพาณิชย์กว่า 5 คูหาในพระราม 3 ที่ถูกอายัดกลับถูกคนนอกสวมสิทธิใช้ประโยชน์ทำสมาคมกีฬาแข่งนกพิราบ เก็บกินค่าเช่า

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 2 ก.ย. ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ถนนแจ้งวัฒนะ กทม. นายกฤษฎา อินทามระ หรือทนายปราบโกง ได้พา น.ส.ทิพาวรรณ สุขภา อายุ 61 ปี ผู้ต้องหาที่ 7 ในคดีพิเศษที่ 97/2559 กรณี นายสมศักดิ์ เจริญกิจนภา กับพวกรวม 12 คน ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและร่วมกันใช้เอกสารปลอม ร่วมกันฟอกเงินและซ่องโจร โดยมีมูลค่าเงินที่เกี่ยวข้องในคดีกว่า 2,500 ล้านบาท เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลการพิจารณาสั่งฟ้องคดี เนื่องจากเวลาล่วงเลยมากกว่า 9 ปี แต่คดีกลับมีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างพนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และทุกวันนี้คดียังอยู่ในชั้นดีเอสไอดังเดิม เรื่องยังไม่ขึ้นสู่ชั้นศาลเพื่อตัดสินให้ความเป็นธรรม อีกทั้งรายการทรัพย์สินจำนวนมากที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ อาทิ อาคารพาณิชย์ 5 คูหา และบ้านพักห้องแถว รวมมูลค่าประเมินทรัพย์สินหลายสิบล้านบาท ก็ถูกคำสั่งยึดอายัดไว้โดยอำนาจของพนักงานสอบสวน คดีพิเศษ แต่กลับมีกลุ่มบุคคลนอกเข้าไปใช้ประโยชน์และเก็บค่าเช่า ทั้งที่เป็นทรัพย์ที่ถูกอายัดไว้แล้ว จึงประสงค์ขอความเป็นธรรมจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้คดีมีความโปร่งใส และเสร็จสิ้นกระบวนการ โดยมี น.ส.อรุณศรี วิชชาวุธ ผอ.กองบริหารคดีพิเศษ เป็นผู้แทนรับเรื่อง

โดย ทนายกฤษฎา เปิดเผยว่า น.ส.ทิพาวรรณ สุขภา อายุ 61 ปี เป็น 1 ใน 12 ผู้ต้องหาในคดีพิเศษที่ 97/2559 กรณี ร่วมกันฉ้อโกง ร่วมกันปลอมแปลงเอกสารและร่วมกันใช้เอกสารปลอม ร่วมกันฟอกเงินและซ่องโจร โดยมีมูลค่าเงินที่เกี่ยวข้องในคดีกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นคดีที่มีข้อกล่าวหาร้ายแรงเป็นอย่างมาก และในจำนวนผู้ต้องหาเหล่านี้มีทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล แต่ในส่วนของ น.ส.ทิพาวรรณ ตามพยานหลักฐานแล้วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการโกงเงินของธนาคารทหารไทย ซึ่งเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีดังกล่าว เนื่องด้วย น.ส.ทิพาวรรณ มีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเรื่องเส้นทางการเงินกับบุคคลในคดีเดียวกัน โดยเป็นการกู้ยืมเงินเพื่อนำไปใช้หมุนเวียนในธุรกิจส่วนตัวเท่านั้น แต่ น.ส.ทิพาวรรณ ไม่เคยทำเรื่องขอกู้ยืมเงินโดยตรงกับธนาคารทหารไทยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่มีเอกสารสัญญาเงินกู้ใดทั้งสิ้น แต่กลับถูกเอาชื่อเข้าไปอยู่ในสำนวนเป็นผู้ต้องหา เพียงเพราะพนักงานสอบสวนเล็งเห็นเส้นทางการเงินที่เธอไปเกี่ยวข้องกับบุคคลในคดี และปักใจเชื่อว่าเธออยู่ในขบวนการฟอกเงินด้วย เพราะมันเป็นเหมือนว่าเอาเงินจากธนาคารมาแล้วไม่ได้มีการประกอบธุรกิจจริง มีการเอาเงินไปหมุนเวียนระหว่างกัน ธนาคารจึงจับได้ว่าเป็นการหลอกเอาเงินจากธนาคารไป ตนหวังว่าคดีดังกล่าวนี้ เนิ่นนานมาตั้งแต่การรับเป็นคดีพิเศษในปี 2559 จวบจนถึงปัจจุบัน แม้มีการนัดหมายให้ไปรับทราบคำสั่งคดีกับพนักงานสอบสวน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผู้ต้องหารายนี้ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเข้าพบพนักงานสอบสวนตลอด แต่เมื่อพนักงานสอบสวนส่งสำนวนไปยังพนักงานอัยการคดีพิเศษ ทางพนักงานอัยการก็ได้มีการส่งกลับสำนวนให้พนักงานสอบสวน โดยแจ้งว่า พนักงานอัยการได้มีคำสั่งคืนสำนวนการสอบสวนให้ดีเอสไอไปดำเนินการตาม ป.วิ อาญา มาตรา 20 เนื่องจากมองว่าผู้ต้องหาได้ร่วมกันกระทำความผิดกับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักรถือว่าคดีเป็นการกระทำความผิดที่มีโทษตามกฏหมายไทยได้กระทำลงนอกราชอาณาจักร

ทนายกฤษฎา เล่าย้อนเหตุการณ์ว่า คดีนี้เป็นคดีพิเศษในปี 2559 และดีเอสไอส่งฟ้องไปที่พนักงานอัยการในวันที่ 20 ก.ค.62 ซึ่งพนักงานอัยการได้นัดหมายให้ผู้ต้องหาไปฟังคำสั่งคดีในวันที่ 20 ก.ย.62 จากนั้นในวันที่ 20 ก.ย.62 ดังกล่าว อัยการส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหากลับที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ เพราะมองว่าเป็นคดีนอกราชอาณาจักร จึงต้องดำเนินการตาม ป.วิ อาญา มาตรา 20 จึงทำให้ตัวผู้ต้องหาก็ต้องกลับมาอยู่ที่ดีเอสไอ ตนจึงสงสัยว่าเหตุใดไม่พูดกันให้ชัดเจน เพราะมันมีการส่งตัวไป-กลับ ผู้ต้องหาก็ต้องมารอหลายชั่วโมงว่าพนักงานสอบสวนจะทำอย่างไร กระทั่งมีการออกเอกสารนัดหมาย โดยดีเอสไอได้นัดให้ผู้ต้องหามารายงานตัวอีกครั้งในวันที่ 16 ธ.ค.62 ซึ่งผู้ต้องหาได้เดินทางไปพบตามนัด จากนั้นดีเอสไอก็ปล่อยตัวไปโดยไม่มีวันนัดหมายครั้งต่อไปให้รับทราบ และเรื่องก็เงียบหายไป 2 ปี 5 เดือน จากนั้นปรากฏว่าดีเอสไอได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในปี 2565 โดยอ้างว่าพบเงินที่เข้ามาเกี่ยวข้องในส่วนของการฟอกเงินอีก 700 ล้านบาท และหลังจากนั้นคดีก็เงียบหายไปอีก 1 ปี 6 เดือน ต่อมาพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มอีก โดยคราวนี้เพิ่มจำนวนทุนทรัพย์เป็นเงินเกือบ 3,000 ล้านบาท (จากเดิม 2,500 ล้านบาท) ซึ่ง น.ส.ทิพาวรรณ ได้มาเข้าพบพนักงานสอบสวนตามนัด แต่พนักงานสอบสวนกลับแจ้งว่าผู้ต้องหาไม่ต้องเซ็นชื่อลงในเอกสาร ตนได้แต่ตั้งข้อสงสัยว่าหากเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาทำไมจึงไม่ให้ผู้ต้องหาลงลายมือชื่อ อย่างไรก็ตาม เรื่องก็เงียบหาย จึงสืบทราบว่าในระหว่างที่คดีเงียบหายไปนั้น พนักงานสอบสวนได้นำคดีที่มีมูลเหตุแห่งคดีและข้อหาเดียวกันนี้ไปฟ้องที่ศาลอาญา ต่อมาศาลอาญาได้มีคำพิพากษายกฟ้องเป็นคดีหมายเลขแดงที่ อ.952/2568 ระหว่างพนักงานอัยการคดีพิเศษ 5 สำนักงานอัยการสูงสุด โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่ามีการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ จึงตั้งข้อสงสัยว่าพอศาลอาญามีคำพิพากษาเช่นนี้ เรื่องคดีจึงเงียบไป เป็นเพราะคำพิพากษาของศาลหรือไม่ แต่สำนวนของคดีและชื่อผู้ต้องหารายนี้ก็ยังค้างอยู่ในชั้นของดีเอสไอ

ทนายกฤษฎา เผยอีกว่า แม้ว่า น.ส.ทิพาวรรณ ถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ศาลอาญา แต่ก็ต้องถูกอำนาจพิเศษของดีเอสไอยึดอายัดทรัพย์สินหลายรายการโดยเฉพาะทรัพย์สินเหล่านั้นก็ติดจำนองกับสถาบันการเงินด้วย จึงทำให้สถาบันการเงินต้องฟ้องคดีล้มละลาย และศาลได้มีคำพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลายแล้วในปี 2567 ทั้งนี้ มองว่าทางคดีก็ไม่มีความแน่นอน ว่าจะยุติหรือจะสั่งฟ้องอย่างไร เพราะถ้าหากดีเอสไอจะมีการยุติดำเนินคดี น.ส.ทิพาวรรณ ในส่วนของทรัพย์ที่มีการยึดอายัดไปนั้นก็ต้องคืนกลับมาให้ผู้เสียหายด้วย โดยเฉพาะเราได้มีการมาติดต่อประสานงานกับดีเอสไอแล้วถึงสองครั้ง ซึ่งล่าสุดทางดีเอสไอได้มีเอกสารตอบกลับว่า อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะสั่งคดีด้วยความเป็นธรรม โดยจะแจ้งผลให้ทราบภายในวันที่ 30 มิ.ย.68 แต่จบจนวันนี้ผ่านมา 2 เดือนแล้ว ก็ยังไม่ทราบผลการดำเนินการที่ชัดเจนว่าดีเอสไอจะดำเนินการอย่างไรกันแน่ จึงต้องมาติดตามทวงถาม เพราะผู้เสียหายเดือดร้อนมานานหลายปีแล้ว ค้างคาแต่ก็เงียบกริบ ประชาชนเขาไม่รู้กฎหมายขั้นตอน ก็อยากขอความเป็นธรรมจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษด้วย โดยตนได้ทำหนังสือขอให้ทางดีเอสไอตอบกลับภายใน 7 วัน ว่าจะดำเนินการอย่างไรกับ น.ส.ทิพาวรรณ หากจะมีการสั่งคดีก็จะได้มีการควบคุมตัวส่งฟ้องอัยการและส่งฟ้องศาลตามลำดับ ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ต้องหาต้องอยู่กับความคลุมเครือเช่นนี้

ด้าน น.ส.ทิพาวรรณ สุขภา กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนยืนยันว่าไม่เคยทำธุรกรรมกู้เงินกับทางธนาคารทหารไทย แต่ทางดีเอสไอก็เอาตนเข้าไปเกี่ยวข้อง เพราะมองว่ามีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับนิติบุคคลที่เป็นผู้ต้องหาในคดี ที่มีการกู้เงินกับทางธนาคารโดยตรง และเมื่อตนเข้าพบพนักงานสอบสวน ตนก็ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและให้การชี้แจงทุกอย่างแล้วว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ทางพนักงานสอบสวนก็บอกเพียงให้ตนไปแก้ในชั้นศาลแทน ตนเป็นเพียงคนที่ประกอบธุรกิจขายโทรศัพท์มือถือในห้างสรรพสินค้าชื่อดังย่านรังสิต เงินที่ไปเกี่ยวข้องก็คือการหยิบยืมมาหมุนเวียนในธุรกิจ จำนวนประมาณ 10 ล้านบาท ไม่ได้ไปร่วมโกงเงินธนาคารกับเขาด้วย ตนเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ผ่านเวลานานแบบนี้ก็เกิดความเครียดพอสมควร เพราะไม่สามารถทำมาหากินได้แล้ว ทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นอาคารพาณิชย์ที่ตนมีก็ถูกอายัดไว้ ตนก็ไม่ใช่คนแข็งแรง เป็นมะเร็งเต้านมระยะที่สอง มีรายได้เพียงเงินจากประกันสังคม เดือนละประมาณ 3,000 กว่าบาทเท่านั้น จึงอยากขอความเป็นธรรมจากดีเอสไอด้วย นอกจากนี้ ตนยังพบว่า อาคารพาณิชย์ของตนที่ถูกพนักงานสอบสวนยึดและอายัดไว้นั้น ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ถนนพระราม 3 กลับถูกกลุ่มบุคคลภายนอกเข้าไปใช้ประโยชน์ในอาคารสิ่งปลูกสร้างที่ถูกอายัด ในลักษณะเป็นสมาคมกีฬาแข่งนกพิราบ และยังมีการปล่อยเช่าข้างล่าง ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทรัพย์สินนั้นเป็นชื่อของตนและกำลังถูกอายัดอยู่ เหตุใดจึงมีกลุ่มคนเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ รวมแล้วราคาประเมินทรัพย์สินที่ตนถูกอายัด และโดนธนาคารฟ้องล้มละลายมีมูลค่าประมาณ 178 ล้านบาท การมาในวันนี้เพื่ออยากขอความเป็นธรรมจากดีเอสไอ เพื่อบรรเทาทุกข์และขอทราบความเคลื่อนไหวในคดีพิเศษนี้อย่างตรงไปตรงมา.

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts