“..เหตุการณ์เสียชีวิตของ น้องแตงโม ที่เป็นกรณี ถูกผู้อื่นทำให้ตาย ตามกฎหมาย ป.วิ อาญา มาตรา 148 (2) ซึ่งตำรวจได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน นำไปสู่การแจ้งข้อหาต่อ คนบนเรือทั้งห้า ว่า ประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291…”
ซึ่งคือการกล่าวหาว่า “ได้กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และทั้งห้าสามารถใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”
แต่จนกระทั่งป่านนี้ ก็ยังไม่มีใครไม่ว่าจะเป็น ตำรวจผู้ใหญ่และอัยการนนทบุรี ออกมาชี้แจงว่า ผู้ต้องหาแต่ละคนได้ร่วมกันกระทำประมาท หรือ ต่างคนต่างกระทำพร้อมกัน ด้วย พฤติกรรมอย่างไร? และ “การกระทำนั้น” เป็นเหตุทำให้น้องแตงโมตกจากเรือจมน้ำตาย?
การสอบสวนของตำรวจที่สรุปว่า น้องไปนั่งปัสสาวะท้ายเรือโดยที่ อีกสี่คนไม่รู้และไม่เห็นอะไร แล้วเสียหลักตกน้ำไปเองตามคำให้การในฐานะพยานของแซน แต่กลับ กลายเป็นผู้ต้องหา ในเวลาต่อมา
ก็ต้องถามทั้งตำรวจและอัยการว่า ผู้ต้องหาทั้งสี่หรือแม้กระทั่งห้าคนรวมทั้งแซน ได้กระทำประมาทอย่างไรที่เป็นเหตุให้น้องแตงโมถึงแก่ความตาย?
หากอัยการอธิบายต่อประชาชนไม่ได้ แล้ว สั่งฟ้องมั่วๆไปเพราะ เกรงใจตำรวจผู้ใหญ่!
รวมทั้งไม่ต้องการให้ผู้บัญชาการตำรวจภาค ทำความเห็นแย้งตาม ป.วิ อาญา มาตรา 145/1 ซึ่งถูกพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. ออกคำสั่งที่ 115/2557 แก้ไขจากที่กฎหมายให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดกลายเป็นของผู้บัญชาการตำรวจภาคผู้มีความเห็นเสนอให้อัยการ “สั่งฟ้อง”
ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำความเห็นแย้ง ก็ จะไม่ยืนยันความเห็นเช่นเดิมนั้นได้อย่างไร!
ถือเป็นกระบวนการยุติธรรมชั้นสอบสวนที่วิปริตและผิดไปจากเจตนารมณ์ของ ป.วิ อาญา สร้างความเดือดร้อนเสียหาย และ ความอยุติธรรม ให้เกิดขึ้นในประเทศมากมาย
และถ้าอัยการพื้นที่จำเป็นและจำใจต้องสั่งฟ้องไป แต่ในที่สุดไม่สามารถพิสูจน์ความผิดจนสิ้นสงสัยได้ แล้วทำให้ศาลพิพากษายกฟ้อง
ข้อเท็จจริงก็จะสวิงกลับกลายเป็นน้องแตงโม “มีความคิดพิเรนทร์” ไปนั่งปัสสาวะท้ายเรือและพลัดตกน้ำเองทันที!
ไม่มีใครต้องรับผิดทางอาญาและทางแพ่งชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกฎหมายอะไรให้ “คุณแม่” แม้แต่บาทเดียว!
รวมทั้งหากเป็นกรณีที่มีผู้กระทำผิดอาญาด้วยข้อหาอื่น ไม่ว่าจะเป็นการลวนลามกระทำอนาจารในลักษณะที่มีการใช้กำลังประทุษร้าย แล้วน้องแตงโมมีปฏิกิริยาปัดป้อง หลบเลี่ยง หรือเบี่ยงตัวหนี จนทำให้พลัดตกเรือไป
มีโทษตามกฎหมายร้ายแรงถึง ประหารชีวิต!
หรือเกิดจากการทำร้ายด้วยความมึนเมาและโทสะในลักษณะหนึ่งลักษณะใดจนทำให้น้องพลัดตกจากเรือไป ซึ่งถือเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
รวมทั้งอาจเป็นกรณีที่ ถูกฆ่าโดยเจตนา ไม่ว่าจะเป็นการ ใช้มีดกรีดขาให้เลือดไหลอย่างโหดร้าย ในเรือ!
หรือแม้กระทั่งนำตัวไป ฆ่าบนบก ตามที่คุณแม่ได้รับข้อมูลและหลักฐานจาก ผู้หวังดี บางกลุ่มมา?
อาชญากรผู้กระทำความผิดอาญาข้อหาฉกรรจ์ทั้งหมดเหล่านี้ ก็จะลอยนวลกันทันที!
ขณะนี้ไม่มีใครทราบว่าคุณแม่มีพยานหลักฐานอะไรจากที่ได้ ข้อมูลลึกลับ จากคนบางกลุ่ม รวมทั้งในเครื่องโทรศัพท์มือถือของน้องที่ได้รับคืนมาจากตำรวจ
หลังจากนำไป ตรวจส่องภาพและคลิปส่วนตัวของเธอมากมาย แล้วไม่พบหลักฐานการกระทำผิดอาญาว่าเป็นการฆ่าหรือแม้แต่ทำร้ายอะไร?
ทำให้คุณแม่ตัดสินใจส่งไปให้ บังแจ็ค ที่อเมริกาช่วยตรวจสอบและกู้ข้อมูลให้
บังแจ็คกลับพบภาพและคลิปหลักฐานการกระทำที่น่าสงสัยว่าน้องไม่ได้ตายเพราะการตกเรือมากมาย!
ส่งผลให้คุณแม่ตัดสินใจมอบอำนาจต่อทนายให้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลเองใน ข้อหาฆ่า อีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นเพราะไม่ไว้ใจในการจะส่งพยานหลักฐานนั้นให้ตำรวจ
หรือแม้แต่อัยการที่กำลังพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี อย่างไหนจะดี หรือ ส่งผลเสียหายเลวร้ายน้อยกว่ากัน!
นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของ กระบวนการยุติธรรมอาญาประเทศไทย ที่ปัจจุบันผู้เสียหายในทุกคดีต้องดิ้นรนกันทุกวิถีทางในการหาพยานหลักฐานการกระทำผิดต่างๆ ไปมอบให้ตำรวจในชั้นการสอบสวนร้องทุกข์
หรือแม้แต่ทำหน้าที่พลเมืองดีไปแจ้งกล่าวโทษในกรณีที่เป็นความผิดต่อรัฐ
ซ้ำยังไม่รู้ว่า เมื่อขวนขวายหามาได้และนำไปมอบให้ตำรวจแล้วจะถูกนำไปรวมไว้ในสำนวนการสอบสวนหรือไม่ หรือแม้กระทั่งอาจทำสูญหาย หรือมีการ สอบสวนทำลายพยานหลักฐาน นั้นให้ไม่น่าเชื่อถือไป
ทำให้ผู้เสียหายหลายคนต้องเก็บหลักฐานที่สำคัญเหล่านั้นไว้ และใช้ความพยายามรวมทั้งความอดทนในการยื่นฟ้อง “พิสูจน์ความผิดอาญาแผ่นดิน” ต่อศาลกันเอง!
และจะยิ่ง “วังเวง” หนักขึ้น หากศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่ง “ไม่ประทับฟ้อง” หรือ “พิพากษายกฟ้อง”!.