“…ช็อกซ้ำซ้อน! “ไพศาล พืชมงคล” ผ่าเบื้องลึกเบื้องหลังการลงนาม “ปฏิญญาสันติภาพ” กับกัมพูชา ชี้เป็นการ “ฉ้อฉล” และ “ไม่ทันเกม” มหาอำนาจอย่างรุนแรง ฟันธงไทย “วินาศ” สองต่อ! ต่อแรก คือถูก “ทรัมป์” และ “อันวาร์” จัดฉากชุบมือเปิบ แลกกับการที่ไทยต้องยอมเสียดินแดน 11 จุดให้เขมร! ต่อที่สอง คือการแอบตกลงยก “แร่แรร์เอิร์ธ” ทรัพยากรล้ำค่าของชาติให้สหรัฐฯ ซ้ำเติมด้วยท่าที “ตัวสั่นงันงก” ไม่กล้าปราบสแกมเมอร์เขมร เพราะกลัวถูก “แฉไส้ใน” ว่ามีนักการเมืองเอี่ยว!
เสียค่าโง่สันติภาพ “ทรัมป์-อันวาร์” วิน!
การลงนามปฏิญญาว่าด้วยแนวปฏิบัติสู่สันติภาพ ระหว่างนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ของไทย และนายกฯ ฮุน มาเน็ต ของกัมพูชา ในที่ประชุมอาเซียนซัมมิทที่มาเลเซีย ถูกตั้งคำถามอย่างหนักถึงผลประโยชน์ที่ไทยได้รับ
นายไพศาล พืชมงคล วิเคราะห์ผ่านรายการ “สืบการเมือง” ว่า งานนี้มีเพียง 2 คนที่ “วิน” คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ได้ภาพพระเอกสันติภาพระดับโลก และ นายกฯ อันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ที่ได้แสดงบทบาทเป็น “หัวหน้าเด็กในคาถา” ในภูมิภาค
ส่วนไทยและกัมพูชา ซึ่งเป็น “เด็กในคาถา 2 คน” กลับไม่รู้ว่าได้หรือเสีย แต่นายไพศาลฟันธงว่า “ไทยเสียเปรียบอย่างชัดเจน”
เหตุผลคือ การตกลง “สันติภาพ” บนพื้นฐานของ “สถานะปัจจุบัน” (Status Quo) หมายความว่า ไทยต้องยอมรับสภาพที่กัมพูชายึดครองดินแดนไทยอยู่ 11 จุด (เช่น บ้านหนองจาน, หนองหญ้าแก้ว) โดยไม่สามารถใช้แสนยานุภาพทางทหารผลักดันออกไปได้อีก กองทัพไทยที่มีหน้าที่รักษาอธิปไตยก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะรัฐบาลไปยอมเขาแล้ว
“ฮุน เซน ถึงกับตีฆ้องร้องป่าว ประกาศชัยชนะ ว่านี่คือความสำเร็จของรัฐบาลลูกชายเขา เพราะดินแดน 11 แห่งที่เขายึดอยู่ ใครก็ไปเอาคืนไม่ได้” นายไพศาลกล่าว
“ปฏิญญา” แค่โวหารตบตา ซ่อน “สนธิสัญญา” ขายชาติ
ประเด็นที่น่าฉงนที่สุด คือการที่รัฐบาลอ้างว่านี่เป็นเพียง “ปฏิญญา” ไม่ใช่ “สนธิสัญญา” จึงไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ
นายไพศาลชี้ว่า นี่คือการ “เล่นโวหาร” ของพวกศรีธนญชัย เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ
“ศาลฎีกาเคยตัดสินแล้วว่า ไม่สำคัญว่าคุณจะจั่วหัวว่าเป็น MOU, MOA หรือปฏิญญา แต่มันสำคัญที่เนื้อหา ถ้าเนื้อหามีผลผูกพันให้ต้องปฏิบัติต่อกัน มันก็คือสนธิสัญญาทั้งนั้น”
การกระทำเช่นนี้จึงส่อเจตนาไม่สุจริต และอาจเข้าข่ายการทำข้อตกลงที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง
ฉ้อฉลซ้ำสอง! ยก “แร่แรร์เอิร์ธ” ประเคนอเมริกา
ยิ่งไปกว่านั้น นายไพศาลยังแฉว่า ไม่ได้มีการลงนามแค่เรื่องสันติภาพ แต่ยังมีการตกลงเรื่อง “แร่หายาก” (Rare Earths) หรือ “แรร์เอิร์ธ” กับสหรัฐอเมริกาด้วย
เรื่องนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการค้นพบทรัพยากรล้ำค่ามหาศาลในไทย โดยเฉพาะ “ลิเธียม” ซึ่งเป็นหัวใจของแบตเตอรี่และเทคโนโลยีโลก ในขณะที่จีนและสหรัฐฯ กำลังงัดข้อกันเรื่องการส่งออกแร่หายากเหล่านี้
“คนไทยยังไม่รู้เลยว่าเมืองไทยมีแรร์เอิร์ธอะไรบ้าง มันเป็นของล้ำค่าที่จะชี้ชะตาความรุ่งเรืองของโลกได้ แต่เรากลับไปทำสัญญากันโดยที่ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น… อยู่ๆ เราไปยกให้สหรัฐฯ ไปซะแล้ว… ถ้าเราให้เขามาขุดเอาไปเฉยๆ เก็บค่าภาคหลวง 3 บาท 5 บาท อย่างนี้ก็ต้องเรียกว่า ขายชาติ”
ไม่ทันเกม หรือ “สมรู้ร่วมคิด”? ปมสแกมเมอร์ที่เขมรถือกุม
ตลกร้ายที่สุด คือท่าที “ไม่ทันเกม” หรืออาจจะ “ไม่กล้า” ของรัฐบาลไทย ต่อปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (สแกมเมอร์) ที่มีศูนย์กลางใหญ่ในกัมพูชา
นายไพศาลชี้ว่า ขณะที่ทั่วโลก (นาโต้, สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย) กำลัง “รุมสกรัม” ล้อมปราบเขมรในฐานะศูนย์กลางอาชญากรรมโลก สหรัฐฯ ยึดทรัพย์ไปแล้ว 5 แสนล้าน รัฐมนตรีเกาหลีใต้บุกไปช่วยคน หรือแม้แต่พม่าก็ใช้ขีปนาวุธยิงถล่มศูนย์สแกมเมอร์จนตายเรียบ
แต่ประเทศไทยกลับตรงกันข้าม!
“มีแต่เขมรที่ขู่ไทยอยู่ประเทศเดียว ว่าจะยึดทรัพย์นักการเมืองไทย… กลายเป็นจอมอาชญากรมาขู่ยึดทรัพย์ประเทศไทย แล้วเราทำยังไง? ไม่หือ ไม่อือ ไม่กล้าปฏิเสธ กลัวมาก”
นายไพศาลตั้งคำถามว่า เหตุใดรัฐบาลไทยจึงกลัวเขมรจนหัวหด ทั้งที่ไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ ทั้งไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตให้แก๊งเหล่านี้?
“คำตอบคือ กลัวเขมรมันจะแฉ ว่ามีใครบ้างเอี่ยว… แค่มันขู่ก็ไม่กล้ากระดิกแล้ว”
การแก้ปัญหาของไทยจึงเป็นเพียงการ “ซื้อเวลา” ด้วยการ “ตั้งคณะกรรมการ” ซึ่งนายไพศาลเรียกว่าเป็น “คณะหมกเม็ด” ที่กว่าจะตั้งอนุกรรมการ ตั้งคณะทำงานเสร็จ ก็อาจจะยุบสภาไปแล้ว 2 รอบ โดยที่อาชญากรยังลอยนวล
การดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ “ไม่ทันเกม” และการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติที่ “เกรงใจโจร” กำลังลากประเทศไทยไปสู่จุดใด?
เมื่อผลประโยชน์ของชาติถูกแลกกับภาพลักษณ์จอมปลอม และความมั่นคงของประชาชนถูกค้ำคอด้วยความลับสีเทา… ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่ประชาชนเจ้าของประเทศตัวจริง จะต้องลุกขึ้นทวงถาม “ความจริง” และ “ความรับผิดชอบ” จากผู้ที่อาสาเข้ามาบริหารบ้านเมือง?




