“…สลาก 80 บาทไม่มีอยู่จริง คือความจริงที่เจ็บปวดซึ่งคนไทยคุ้นชิน แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง “ราคาสลากแพง” อาจไม่ใช่แค่พ่อค้าคนกลาง แต่คือ “เครือข่าย” การจัดสรรผลประโยชน์ที่หยั่งรากลึกระดับโครงสร้าง ภายใต้แคมเปญใหม่ “มีเราไม่มีเทา” พรรคประชาชนกำลังจุดไฟไล่เงื่อนงำครั้งใหญ่ ชี้เป้าไปที่ “โควตาสลาก” นับร้อยล้านฉบับ ที่อาจกลายเป็นเครื่องมือฟอกเงินชั้นดีของกลุ่มทุนสีเทา โดยมี “ทหารผ่านศึก” และ “ผู้พิการ” เป็นเหยื่อที่ถูกปล้นผลประโยชน์ซึ่งหน้า…”
เจาะลึก ‘หลุมดำ’ โควตาสลาก ใครคือ ‘เสือนอนกิน’ ตัวจริง?
สมรภูมิการเมืองระลอกใหม่ปะทุขึ้นทันที เมื่อพรรคประชาชนเปิดฉากแคมเปญ “มีเราไม่มีเทา” โดยไม่เพียงแค่ประกาศสงครามกับธุรกิจสีเทา แต่ยังพุ่งเป้าไปที่ “โครงสร้าง” ที่เอื้อให้ทุนเหล่านี้เติบโต และหวยงวดนี้ก็ออกที่ “สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล”
สส. ธนเดช เพ็งสุข จากพรรคประชาชน เปิดเผยข้อมูลเชิงลึก ตั้งคำถามถึงกลไกการกระจายสลากกว่า 104 ล้านฉบับต่องวด ที่ดูเหมือนจะถูก “ล็อกเป้า” ให้กลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามาหากินบน “โควตา” ของผู้ด้อยโอกาส
ประเด็นที่ถูกชำแหละอย่างหนักหน่วง คือ “องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก” (อผศ.) ซึ่งได้รับโควตาสลากมหาศาลถึงปีละกว่า 26.37 ล้านใบ โดยเจตนารมณ์คือการสร้างอาชีพและผดุงเกียรติวีรบุรุษของชาติ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกลับตาลปัตร สส. ธนเดช แฉว่า แทนที่สลากจะถึงมือทหารผ่านศึกโดยตรง องค์กรฯ กลับใช้วิธี “รวบโควตาขายเหมา” เปิดทางให้กลุ่มเอกชนเข้ามา “ประมูล” สิทธิ์ในการจัดจำหน่ายไปทั้งหมด
ผลลัพธ์คือตัวเลขที่น่าตกใจ ทหารผ่านศึกผู้เป็นเจ้าของโควตาที่แท้จริง กลับได้รับปันผลเฉลี่ยเพียงใบละ 2.1 บาท เท่านั้น!
ตัวเลขนี้สวนทางกับความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิง หากคำนวณต้นทุนสลากจากกองสลาก (ประมาณ 70.4 บาท) หากทหารผ่านศึกขายเองที่ราคาควบคุม 80 บาท พวกเขาควรได้กำไรถึงใบละ 9.6 บาท คำถามคือ ส่วนต่างที่หายไปมหาศาล…มันไปอยู่ในกระเป๋าใคร?
‘นอมินี’ เครือข่ายเทา และเงาการเมือง
การตรวจสอบของพรรคประชาชนยังพบข้อพิรุธในกลุ่มเอกชนที่ชนะการประมูล โดยตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีลักษณะเป็น “นอมินี” หรือบริษัทที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรวบรวมโควตา ก่อนนำไป “จับคู่” และ “เพิ่มมูลค่า” ปล่อยขายในตลาดมืด จนกลายเป็นต้นทุนที่แท้จริงที่ทำให้สลากราคาพุ่งทะลุเพดาน
สส. ธนเดช ยอมรับว่า มีหลักฐานพอสมควรที่เชื่อได้ว่ากระบวนการนี้ “เชื่อมโยงกับกลุ่มทุนสีเทา” ที่ใช้ธุรกิจสลากเป็นฉากหน้าในการฟอกเงิน เนื่องจากเม็ดเงินมหาศาลและยากต่อการตรวจสอบ
ไม่ใช่แค่ทหารผ่านศึก “สมาคมกีฬาคนตาบอดแห่งประเทศไทย” ก็ถูกตั้งคำถาม เมื่อมีเสียงร้องเรียนว่าโควตา 3,000 เล่มต่องวด กลับตกไปอยู่ในมือ “คนตาดี” หรือคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับสมาคม
นี่คือภาพสะท้อนความผิดปกติทั้งระบบ ที่ “กลุ่มทุนใหญ่” เข้ามาสูบกินผลประโยชน์จากโควตาของสมาคมและองค์กรการกุศลกว่า 300-400 แห่งทั่วประเทศ
มรดก คสช. สู่ปมขัดแย้งปัจจุบัน
ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็น “ปัญหาเรื้อรัง” ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมานาน สส. ธนเดช ถึงกับตั้งคำถามย้อนไปถึงยุค คสช. ที่ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เคยเข้ามานั่งคุมบอร์ดสลากฯ พร้อมอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่สุดท้ายก็ “ไม่สำเร็จ” ในการปราบสลากแพง
“ท่านติดอะไร ทั้งที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด?” นี่คือคำถามที่ สส. ธนเดช ทิ้งบอมบ์เอาไว้
เขายังยืนยันว่า การตรวจสอบครั้งนี้พบความเชื่อมโยงกับ “นักการเมือง” ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่ใช้เส้นสายหรืออำนาจทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
แม้พรรคประชาชนจะพยายาม “สงวนท่าที” ว่าไม่ได้พุ่งเป้าโจมตีใครเป็นการเฉพาะ (ท่ามกลางไฟการเมืองที่กำลังปะทะกันดุเดือดระหว่าง “ไอซ์” และ “ไผ่” ที่พาดพิงถึง “ร.อ. ธรรมนัส”) แต่แรงสั่นสะเทือนจากการเปิดโปงครั้งนี้ กำลังเขย่าเสถียรภาพรัฐบาลอย่างปฏิเสธไม่ได้
ขณะที่ข้อครหาว่าพรรคประชาชนกำลังเล่นบท “ฝ่ายค้ำ” ให้รัฐบาล สส. ธนเดช ก็โต้กลับให้ “ดูที่การทำงาน” และท้าทายกลับไปยังพรรคการเมืองอื่นที่เคยมีข้อมูล แต่กลับ “ไม่ขยับอะไรเลย”
การเดินเกม “มีเราไม่มีเทา” ครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าการทวงคืนผลประโยชน์ให้ทหารผ่านศึก แต่คือการ “วัดกำลัง” ว่าพรรคประชาชนกล้าชนกับ “เครือข่ายทุนเทา” ที่อาจโยงใยถึงผู้มีอำนาจในรัฐบาลได้จริงหรือไม่
หรือสุดท้ายแล้ว… เรื่องนี้เป็นเพียงการสร้าง “อีเวนต์” ทางการเมือง ท่ามกลางเสียงครหา และปล่อยให้ประชาชนยังคงต้องซื้อ “ความหวัง” ในราคาแพงต่อไป โดยไม่รู้ว่าใครคือ ‘เจ้ามือ’ ตัวจริงที่กำลังสูบเลือดคนไทย?
#สืบจากข่าว รายงาน




