ใครจะไปคาดคิดว่า ในปี 2540 ประเทศไทยจะเกิดวิกฤตการณ์ ถึงขั้นปิด 58 ไฟแนนซ์ และ 6 สถาบันการเงิน ภายในปีเดียว กลายเป็น “วิกฤตต้มยำกุ้ง”
หากใครนึกภาพไม่ออกว่าวิกฤตครั้งนั้นรุนแรงแค่ไหน ลองเปรียบเทียบกับ วิกฤตโควิด-19 ที่มีการชัตดาวน์ธุรกิจทั้งระบบ แต่ไม่มีไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินไหน ปิดตัวจากโควิด-19

นอกจากบริษัทประกันภัย 4 แห่ง ที่รับทำประกันโควิด “เจอ จ่าย จบ” ซึ่งก็นับเป็นวิกฤตรุนแรง เขย่าวงการประกันภัย เพราะการจ่ายค่าสินไหม ยังดำเนินการไม่จบสิ้น และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่
แต่ในปี 2540 วงการการเงินของไทย ต้องช็อคเพราะการปิดตัวไฟแนนซ์ถึง 58 แห่ง ไฟแนนซ์บางแห่งเพิ่งประกาศปรับตัวเป็นธนาคาร ยังตั้งตู้เอทีเอ็มไม่ครบทุกสาขา ก็ยังต้องหยุดโครงการและปิดตัวไปในที่สุด
เหตุจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนพุ่งจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ ทะยานไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้หนี้ของไฟแนนซ์และสถาบันการเงินที่กู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์ ปรับเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว
ยกตัวอย่างเคยเป็นหนี้ 1 ล้านล้านบาท ก็กลายเป็น 2 ล้านล้านบาท
สถาบันการเงินหลายแห่งขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อวิกฤตการณ์รุนแรงขึ้น ภาคธุรกิจและประชาชนได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้หลายบริษัทต้องปิดตัวลง และบริษัทไฟแนนซ์หลายแห่งประสบปัญหาหนี้เสียตามไปด้วย กลายเป็นโดมิโนล้มตามกันเป็นลูกโซ่
58 ไฟแนนซ์ประกาศปิดตัว รวมถึงธนาคารอีก 6 แห่งหายไปจากระบบ ประเทศไม่เงินทุนสำรองหลงเหลือ เงินบาทไร้ราคา รัฐบาลต้องกลายเป็นหนี้ เนื่องจากเข้าไปอุ้มผู้ฝากเงินในธนาคารที่ล้ม เป็นเงินประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สะท้อนเรื่องราวผ่านรายการ “สืบเศรษฐกิจ” ว่า ในช่วงที่เขาเข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในปี 2554 หรืออีก 14 ปีต่อมา นับจากเหตุการณ์ “ต้มยำกุ้ง” ยอดหนี้จากวิกฤตต้มยำกุ้ง ยังเหลือสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท

กระทรวงการคลังมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยแต่ละปีในขณะนั้น 4 หมื่นล้านบาทเศษ ซึ่งสร้างปัญหาต่อการจัดทำงบประมาณอย่างมาก
“ถ้าผมไม่แก้ไข ภาระการใช้หนี้เงินต้น 1.1 ล้านล้านบาท และดอกเบี้ยปีละ 4 หมื่นล้านบาท ก็จะตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีทุกคนในประเทศไทยไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอีกหลายปี” อดีตรัฐมนตรีคลัง สะท้อนปัญหาการคลังในเวลานั้น
ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขาจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาอย่างเป็นธรรม เนื่องจากยอดหนี้เงินต้น 1.1 ล้านล้านบาท และภาระดอกเบี้ยปีละ 4 หมื่นล้านบาท ตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีทั้งประเทศทุกคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม เพราะปัญหาดังกล่าวเกิดจากสถาบันการเงิน
เขาจึงได้เสนอออกพระราชกำหนด ให้โอนภาระหนี้และภาระดอกเบี้ยดังกล่าว ไปให้ผู้ฝากเงินในธนาคาร เป็นผู้รับภาระแทนผู้เสียภาษี เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากเงินฝากในธนาคาร
การโอนภาระการจ่ายดอกเบี้ยไปให้แก่ผู้ฝากเงินในธนาคาร นอกจากจะเพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อสังคม ยังทำให้หนี้ก้อนนี้ ไม่เป็นภาระของกระทรวงการคลังอีกต่อไป
ผลลัพธ์จากการออกพระราชกำหนดดังกล่าว ทำให้เงินค่า subscription ที่เรียกเก็บ 0.46% ต่อปีจากสถาบันการเงิน สามารถใช้คืนหนี้เงินต้นไปแล้ว จนปัจจุบันเหลือเงินต้นเพียง 6 แสนล้านบาท
จากปี 2540 ที่กระทรวงการคลังและผู้เสียภาษีทั้งประเทศ ต้องรับผิดชอบหนี้ก้อนโต 1.3 ล้านล้านบาท
14 ปีต่อมา คือในปี 2554 ยังเหลือหนี้ก้อนใหญ่ 1.1 ล้านล้าน
แต่อีก 14 ปีต่อมา ในปี 2568 หนี้ก่อนนี้ลดลงเหลือเพียง 6 แสนล้านบาท
นั่นคือหนึ่งในความภาคภูมิใจของ “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็น 1 ในมือการเงิน “ขั้นเทพ”
สืบจากข่าว รายงาน




