วันพุธ, พฤศจิกายน 5, 2025
หน้าแรกการเมืองสืบการเมืองธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล มือ...

ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล มือ “การเงิน” ขั้นเทพลดหนี้ “คลัง” 5 แสนล้าน

ใครจะไปคาดคิดว่า ในปี 2540 ประเทศไทยจะเกิดวิกฤตการณ์ ถึงขั้นปิด 58 ไฟแนนซ์ และ 6 สถาบันการเงิน ภายในปีเดียว กลายเป็น “วิกฤตต้มยำกุ้ง”

หากใครนึกภาพไม่ออกว่าวิกฤตครั้งนั้นรุนแรงแค่ไหน ลองเปรียบเทียบกับ วิกฤตโควิด-19 ที่มีการชัตดาวน์ธุรกิจทั้งระบบ แต่ไม่มีไฟแนนซ์หรือสถาบันการเงินไหน ปิดตัวจากโควิด-19

นอกจากบริษัทประกันภัย 4 แห่ง ที่รับทำประกันโควิด “เจอ จ่าย จบ” ซึ่งก็นับเป็นวิกฤตรุนแรง เขย่าวงการประกันภัย เพราะการจ่ายค่าสินไหม ยังดำเนินการไม่จบสิ้น และไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่

แต่ในปี 2540 วงการการเงินของไทย ต้องช็อคเพราะการปิดตัวไฟแนนซ์ถึง 58 แห่ง ไฟแนนซ์บางแห่งเพิ่งประกาศปรับตัวเป็นธนาคาร ยังตั้งตู้เอทีเอ็มไม่ครบทุกสาขา ก็ยังต้องหยุดโครงการและปิดตัวไปในที่สุด

เหตุจากการประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนพุ่งจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ ทะยานไปแตะ 55 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้หนี้ของไฟแนนซ์และสถาบันการเงินที่กู้ยืมเงินสกุลดอลลาร์ ปรับเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว

ยกตัวอย่างเคยเป็นหนี้ 1 ล้านล้านบาท ก็กลายเป็น 2 ล้านล้านบาท

สถาบันการเงินหลายแห่งขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อวิกฤตการณ์รุนแรงขึ้น ภาคธุรกิจและประชาชนได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทำให้หลายบริษัทต้องปิดตัวลง และบริษัทไฟแนนซ์หลายแห่งประสบปัญหาหนี้เสียตามไปด้วย กลายเป็นโดมิโนล้มตามกันเป็นลูกโซ่

58 ไฟแนนซ์ประกาศปิดตัว รวมถึงธนาคารอีก 6 แห่งหายไปจากระบบ ประเทศไม่เงินทุนสำรองหลงเหลือ เงินบาทไร้ราคา รัฐบาลต้องกลายเป็นหนี้ เนื่องจากเข้าไปอุ้มผู้ฝากเงินในธนาคารที่ล้ม เป็นเงินประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท

นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง สะท้อนเรื่องราวผ่านรายการ “สืบเศรษฐกิจ” ว่า ในช่วงที่เขาเข้ามาดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในปี 2554 หรืออีก 14 ปีต่อมา นับจากเหตุการณ์ “ต้มยำกุ้ง” ยอดหนี้จากวิกฤตต้มยำกุ้ง ยังเหลือสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท

กระทรวงการคลังมีภาระต้องจ่ายดอกเบี้ยแต่ละปีในขณะนั้น 4 หมื่นล้านบาทเศษ ซึ่งสร้างปัญหาต่อการจัดทำงบประมาณอย่างมาก

“ถ้าผมไม่แก้ไข ภาระการใช้หนี้เงินต้น 1.1 ล้านล้านบาท และดอกเบี้ยปีละ 4 หมื่นล้านบาท ก็จะตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีทุกคนในประเทศไทยไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลานอีกหลายปี” อดีตรัฐมนตรีคลัง สะท้อนปัญหาการคลังในเวลานั้น

ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เขาจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาอย่างเป็นธรรม เนื่องจากยอดหนี้เงินต้น 1.1 ล้านล้านบาท และภาระดอกเบี้ยปีละ 4 หมื่นล้านบาท ตกเป็นภาระของผู้เสียภาษีทั้งประเทศทุกคน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม เพราะปัญหาดังกล่าวเกิดจากสถาบันการเงิน

เขาจึงได้เสนอออกพระราชกำหนด ให้โอนภาระหนี้และภาระดอกเบี้ยดังกล่าว ไปให้ผู้ฝากเงินในธนาคาร เป็นผู้รับภาระแทนผู้เสียภาษี เนื่องจากเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์จากเงินฝากในธนาคาร

การโอนภาระการจ่ายดอกเบี้ยไปให้แก่ผู้ฝากเงินในธนาคาร นอกจากจะเพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อสังคม ยังทำให้หนี้ก้อนนี้ ไม่เป็นภาระของกระทรวงการคลังอีกต่อไป

ผลลัพธ์จากการออกพระราชกำหนดดังกล่าว ทำให้เงินค่า subscription ที่เรียกเก็บ 0.46% ต่อปีจากสถาบันการเงิน  สามารถใช้คืนหนี้เงินต้นไปแล้ว จนปัจจุบันเหลือเงินต้นเพียง 6 แสนล้านบาท

จากปี 2540 ที่กระทรวงการคลังและผู้เสียภาษีทั้งประเทศ ต้องรับผิดชอบหนี้ก้อนโต 1.3 ล้านล้านบาท

14 ปีต่อมา คือในปี 2554 ยังเหลือหนี้ก้อนใหญ่ 1.1 ล้านล้าน

แต่อีก 14 ปีต่อมา ในปี 2568 หนี้ก่อนนี้ลดลงเหลือเพียง 6 แสนล้านบาท

นั่นคือหนึ่งในความภาคภูมิใจของ “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็น 1 ในมือการเงิน “ขั้นเทพ”

สืบจากข่าว รายงาน

Get notified whenever we post something new!

spot_img

Create a website from scratch

Just drag and drop elements in a page to get started with Newspaper Theme.

Continue reading

“มีเราไม่มีเทา” แค่ละครตบตา!

https://youtu.be/CADWMvy1ytU “...ท่ามกลาง "ม่านหมอกสีเทา" ทางการเมืองที่แยกมิตร-ศัตรูไม่ออก สภาวะ "อีรุงตุงนัง" ที่แม้แต่ฤดูกาลยังสับสน การเมืองไทยกำลังเดินเข้าสู่เกมที่ซับซ้อนและอำมหิตเกินกว่าที่ตาเห็น ปฏิบัติการ "มีเราไม่มีเทา" ของพรรคประชาชน ที่ดูเหมือนการกวาดล้างสแกมเมอร์เพื่อชาติ แท้จริงแล้วอาจเป็นเพียง "ละครฉากใหญ่" ที่มีผู้ได้ประโยชน์สูงสุดนั่งยิ้มอยู่มุมตึกหรือไม่? รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว นักวิชาการผู้ไม่เคยมองการเมืองแค่ชั้นเดียว ซึ่งกำลังชี้ให้เห็นว่า เกมนี้นอกจากจะ "ล็อกเป้า" พรรคกล้าธรรม ให้แตกกระเจิง ยังเป็นการ "ดองเค็ม" พรรคเพื่อไทย ให้รอวันตายทางการเมือง โดยมี "พรรคภูมิใจไทย" เป็นผู้เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทั้งหมด รศ.ดร.โอฬาร ผ่าให้เห็นภาพการเมืองไทยที่ "เน่าใน" ไม่ว่าจะเป็นการคัมแบ็กของ "อภิสิทธิ์" ที่เป็นแค่ "นั่งร้าน" ให้ สส. บ้านใหญ่ใน "พรรคพันธุกรรม" ที่รอวันตาย...

จีนก้าวขึ้น “ผู้นำโลก”สันติภาพ “การพัฒนา”เกิดขึ้นทิศทาง​โลก​”หลังทรัมป์จับมือสี”

".... ภายหลังจากพบปะเจรจากับประธาน​าธิบดี​สีจิ้นผิง​ที่สนามบินเมืองปูซานเกาหลีใต้​ เมื่อวันที่30​ตุลาคม​ที่ผ่านมา​ ประธานาธิบดี​โดนัลด์​ ได้บรรยาย​ถึงความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา​การค้าระหว่างสหรัฐ​ฯกับจีน​ พร้อมกับนำเสนอแนวคิดเรื่องโลกยุคG2 ที่สหรัฐ​ฯกับจีนจะร่วมกันบริหารโลก หมายถึงว่าผู้นำสหรัฐอเมริกา​สลัดทิ้งกลุ่มG7 มาจับมือกับจีนจัดระเบียบโลก น่าแปลกกลับมีเสียงตอบรับในเชิงบวก​ คล้ายกับว่าเมื่อเสือสองตัวนี้จับมือกัน สันติภาพ​ก็จะเกิดขึ้น​ สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการเบื้องลึกของชาวโลกในเรื่องสันติภาพ​ การพัฒนา​และความยุติธรรม​ ทีนี้​ ในทางเป็นจริง​ ทิศทาง​ขับเคลื่อน​ของสังคมโลกหลังจากนี้จะดำเนินไปในแนว​ใด? ตามคำวินิจฉัย​ของประธานาธิบดี​สีจิ้นผิง​ที่ว่า​ สังคมโลกกำลัง​อยู่​ใน​ระหว่าง​การเปลี่ยนแปลง​ใหญ่​ที่ไม่เคยปรากฏ​มาก่อน​ในรอบร้อยปี ในลักษณะ​ที่"ตะวันออกลอยสูง​ ตะวันตกคล้อยต่ำ" จีนอยู่ในฐานะที่กำลังลอยสูง​ ไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะรีบร้อนรวบรัดจัดระเบียบ​โลกใหม่โดยพลการเพียงเพื่อผลประโยชน์​เฉพาะตัว​ ความ​สัมพันธ์​กับสหรัฐ​อเมริกา​แม้จะสำ​คัญ​มาก​ แต่ก็ไม่อยู่เหนือกฎเกณฑ์​การพัฒนา​ของประวัติศาสตร์​ ถ้าให้จีนเลือกระหว่างสหรัฐ​อเมริกา​กับโลกทั้งใบ​ จีนย่อมเลือกที่จะร่วมกับทั้งโลกเดินหน้าสร้างประวัติศาสต​ร​์​หน้าใหม่ๆต่อไป​ และก็ไม่ปิดโอกาสที่สหรัฐ​อเมริกา​จะเดินตาม..." https://youtu.be/aWs44WpYTgU ทิศทาง​โลก​หลังทรัมป์จับมือสี特与习握手后的世界走向 ภายหลังจากพบปะเจรจากับประธาน​าธิบดี​สีจิ้นผิง​ราว1ชั่วโมง40นาที​ ที่สนามบินเมืองปูซานเกาหลีใต้​ เมื่อวันที่30​ตุลาคม​ที่ผ่านมา​ ประธานาธิบดี​โดนัลด์​ ทรัมป์ก็เดินทางกลับอเมริกา​ ระหว่างนั้นก็ได้บรรยาย​ถึงความสำเร็จในการแก้ไขปัญหา​การค้าระหว่างสหรัฐ​ฯกับจีน​ พร้อมกับนำเสนอแนวคิดเรื่องโลกยุคG2 ที่สหรัฐ​ฯกับจีนจะร่วมกันบริหารโลก หมายถึงว่าผู้นำสหรัฐอเมริกา​สลัดทิ้งกลุ่มG7 มาจับมือกับจีนจัดระเบียบโลก มองในมุมหนึ่งสหรัฐอเมริกา​ยอมรับว่าประเทศ​จีนได้ก้าวขึ้นมาทาบรัศมี​ตนแล้วอย่างแท้จริง​ เพราะไม่ว่าจะใช้สงครามการค้าแบบไหน​ ข่มขู่อย่างไร ก็กินจีนไม่ลง ตรงกันข้ามกลับตื้อตันทันทีที่โดนจีนสวนกลับในแทบทุกจังหวะ ขืนยืนซดกันต่อไป​ เห็นท่าจะไม่ได้การ​ ทางออกที่ดีก็คือรักษา​สถานะ​ความเป็นมหาอำนาจ​หมายเลขหนึ่ง​เอาไว้​ แล้วให้จีนมายืนประกบในฐานะมหาอำนาจหมายเลขสอง สองมหาอำนาจร่วมกันปกครองทั้งโลก​ น่าจะสวยที่สุด ถ้าเป็นก่อนหน้านี้​...

“การกุศลนิยม” พ่นพิษ สถาบันจัดอันดับโลก ปรับลดเครดิตไทยระนาว

https://youtu.be/2TAyqk9d2SU ละครการเมืองฉากใหญ่ ซุกซ่อนปัญหาเศรษฐกิจ ลดขีดความสามารถทางการแข่งขันของคนไทย ทำเครดิตประเทศตกต่ำ หลายสถาบันจัดอันดับโลก ปรับลดความน่าเชื่อถือ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การเมืองยุคปัจจุบัน ยังแก้ปัญหาด้วยการแจกเงิน กลายเป็น “การกุศลนิยม” ซึ่งเงินก็คือเงินของประชาชน ปัญหาคือการนำภาษีมาแจก ส่งผลให้ประเทศขาดดุลงบประมาณ 3-4 เปอร์เซ็นต์ เมื่อปิดหีบงบประมาณไม่ได้ ต้องอาศัยเงินกู้ ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นทุกปี ขณะที่การแจกเงิน  นำไปกิน ไปใช้ประจำวัน ทำให้ประชาชนหลงทาง บอกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้ดี สุดท้ายแค่ไฟไหม้ฟาง ความคิดแบบเพ้อฝัน เสนอสิ่งที่ดีที่สุดในจักรวาล ไม่ได้เพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของพลเมือง  จนสถาบันจัดอันดับเครดิตเตือน เพราะฉะนั้นการใช้นโยบายการคลังแล้วหวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ เป็นการกระตุ้นรอบเดียว เช่น แจกเงินหมื่น นำไปกินไปใช้ คนที่ได้ประโยชน์คือคนขายของบริษัทขนาดใหญ่ แต่ได้ประโยชน์แค่รอบเดียว ล่าสุด ประเทศไทยถูก...

Enjoy exclusive access to all of our content

Get an online subscription and you can unlock any article you come across.