“…เสียงปืนชายแดนยังไม่สงบ มันตลกร้ายสิ้นดี! ในขณะที่ตำรวจ “ขยัน” ไล่ควบคุมตัว 2 ตายายเพียงเพราะสติกเกอร์การเมือง “สนับสนุน พลเอกรังสี” อ้าง “สร้างความวุ่นวาย” แต่ชายแดนกลับ “ลุกเป็นไฟ” เมื่อ “เขมร” ปักธงสร้างกระเช้ายุทธปัจจัยรุกคืบ “ปราสาทคณา” แต่รัฐบาลไทยกลับมีท่าที “อ่อนปวกเปียก” บินไปลงนาม “สันติภาพจอมปลอม” “สืบจากข่าว” ชวน “มาร์ค พิทบูล” ฉะแหลกปฏิบัติการพิลึก ที่ส่อกลิ่น “ดีลลับ” สังเวยทรัพยากรชาติ และการเกรงใจ “รัฐโจร” เป็นเดิมพัน!…”
ปฏิบัติการ “บินด่วน” เจรจาสันติภาพไทย-กัมพูชา โดยมี “มาเลเซีย” และ “เวียดนาม” เข้ามาเป็นตัวกลาง กำลังถูกตั้งคำถามตัวโต ๆ ถึงความโปร่งใสและผลประโยชน์ทับซ้อนที่ชาติอาจต้อง “สังเวย”
นายณัชพล สุพัฒนะ หรือ “มาร์ค พิทบูล” ตั้งข้อสังเกตว่า ท่าทีของรัฐบาลไทยชุดนี้ “อ่อนปวกเปียก” ผิดปกติ ทั้งที่ฝ่ายกัมพูชาแสดงท่าทีรุกรานไม่หยุดหย่อน ทั้งการลอบวางระเบิด และล่าสุดคือการระดมกำลังสร้าง “สลิงกระเช้า” ส่งยุทธปัจจัยขึ้นเขาบริเวณปราสาทคณา ซึ่งถูกตีความว่าไม่ต่างอะไรกับการ “ปักธงยึด” แต่รัฐบาลไทยกลับเลือกที่จะ “เจรจา” ปล่อยตัวทหารที่รุกเข้ามาในแดนไทย โดยอ้างว่า “ไม่ใช่เชลยศึก”
คำถามคือ… ทำไมเราถึงต้อง “กลัว” เขาขนาดนั้น?
“มาร์ค พิทบูล” แห่งพรรคเศรษฐกิจ วิเคราะห์อย่างดุดันว่า “เรากำลังเจรจากับโจร” เขาชี้ว่าท่าทีของรัฐบาล ไม่ต่างอะไรจากการ “ยอม” ให้เพื่อนบ้านข่มเหงซ้ำแล้วซ้ำเล่า ย้อนรอยประวัติศาสตร์ตั้งแต่กรณี “วีระ สมความคิด” ที่ถูกจับในแผ่นดินไทย แต่รัฐบาลไทยกลับไม่กล้าปกป้องอธิปไตย
แต่สิ่งที่ “สืบจากข่าว” ขุดลึกลงไป อาจน่าสะพรึงยิ่งกว่า… การเจรจาครั้งนี้ อาจมี “วาระซ่อนเร้น”
ดีลลับ “แรร์เอิร์ธ” สังเวยสิ่งแวดล้อมไทย?
วงในชี้ว่า หัวใจของการบินไปครั้งนี้ ไม่ใช่ “สันติภาพ” แต่คือ “แรร์เอิร์ธ” (Rare Earth) แร่หายากที่เป็นหัวใจของอุตสาหกรรมชิปและเทคโนโลยีขั้นสูง
สถานการณ์โลกขณะนี้ “สหรัฐอเมริกา” กำลังขาดแคลนแรร์เอิร์ธอย่างหนัก หลังเปิดสงครามการค้าและคว่ำบาตร “จีน” ซึ่งเป็นผู้กุมตลาดวัตถุดิบนี้ไว้ การผลิตแรร์เอิร์ธเป็นกระบวนการที่ “สกปรก” สร้างมลพิษร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม ดังที่เห็นตัวอย่างหายนะของแม่น้ำกก จากการลักลอบทำเหมืองใน “พม่า”
สหรัฐฯ จึงกำลังวิ่งเต้นหาแหล่งผลิตใหม่ และ “ประเทศไทย” คือเป้าหมาย ด้วยจุดอ่อนเรื่อง “กฎหมายสิ่งแวดล้อม” ที่หละหลวม และรัฐบาลที่พร้อมจะ “เซ็น”
มีการตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลกำลังถูกกดดันให้เซ็น MOU ที่อาจผูกมัดประเทศ เหมือนดังเช่น “MOU 43-44” เรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ที่รัฐบาลทุกยุคไม่กล้ายกเลิก
นี่คือการ “ชักศึกเข้าบ้าน” เปิดทางให้มหาอำนาจเข้ามาตักตวงทรัพยากร และทิ้งสารพิษไว้ให้คนไทยหรือไม่?
“รัฐโจร” คอรัปชั่น และ “ทุนสแกมเมอร์”
ขณะที่ชายแดนถูกรุกราน ทรัพยากรถูกจ้องฮุบ สถานการณ์ในประเทศก็ไม่ต่างกัน “มาร์ค พิทบูล” ตอกย้ำว่า กัมพูชาในปัจจุบันมีสถานะเป็น “รัฐโจร” (Rogue State) เป็นศูนย์กลางการฟอกเงินและแหล่งซ่องสุมของ “แก๊งสแกมเมอร์” ที่ดูดเงินคนไทยไปนับล้านล้านบาท
น่าตกใจที่ “นายกรัฐมนตรี” (อนุทิน) ยอมรับเองว่า “ไทยเป็นแหล่งฟอกเงิน” แต่คำถามคือ “แล้วทำไมไม่จัดการ?”
ในขณะที่จีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน เดินหน้า “ยึดทรัพย์” เครือข่ายอาชญากรเหล่านี้อย่างจริงจัง แต่ประเทศไทย ซึ่งเป็นเหยื่อและเป็นทางผ่านของเงิน กลับ “นิ่งเฉย” ไม่กล้าแม้แต่จะ “ตัดน้ำตัดไฟ” หรือ “อายัดทรัพย์” ของเครือข่ายทุนสีเทาที่ฝังตัวในประเทศ
มันน่าสงสัยหรือไม่ ว่าเหตุใดรัฐบาลไทยจึงต้อง “เกรงใจ” รัฐโจร?
หรือพฤติกรรมนี้ยืนยันข้อสงสัยที่ว่า “หัวหน้าแก๊งสแกมเมอร์ตัวจริง… อยู่ในประเทศไทย”? หรือเลวร้ายที่สุด… “ทุนสีเทา” เหล่านี้ ได้แทรกซึมกลายเป็น “ทุนสนับสนุน” นักการเมืองในรัฐบาลไปแล้วหรือไม่?
การที่ตำรวจระดับ “ผบ.ตร.” ถูกแฉเรื่องพัวพันส่วยและพนันออนไลน์ แต่ “นายกฯ” ในฐานะผู้บังคับบัญชา กลับไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ยิ่งตอกย้ำความน่ากังวลนี้
ปิดปากประชาชน… ปล่อยโจรลอยนวล
ท่ามกลางวิกฤตซ้อนวิกฤตนี้ สิ่งที่รัฐบาลทำกลับ “ตลกร้าย” เมื่อปรากฏข่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่ปราจีนบุรี-นครนายก ตั้งด่านตรวจและ “ควบคุมตัว” สองตายาย เพียงเพราะติดสติกเกอร์ “สนับสนุน พลเอกรังสี” โดยอ้างข้อหา “สร้างความวุ่นวาย”
นี่คือภาพสะท้อนที่ชัดเจนที่สุดหรือไม่? ว่าขณะที่ “โจรตัวจริง” ทั้งโจรชายแดน โจรปล้นทรัพยากร และโจรไซเบอร์ กำลังลอยนวล… แต่รัฐกลับใช้กฎหมายและอำนาจรัฐ ไล่บี้ “ประชาชน” และ “ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง”
ตกลงแล้ว “สันติภาพ” ที่รัฐบาลกำลังพูดถึง… มันคือสันติภาพของใคร? ระหว่างประชาชน… หรือระหว่าง “โจร” กับ “โจร” ที่ตกลงผลประโยชน์กันลงตัวแล้ว?
#สืบจากข่าว รายงาน



