“…คดีประวัติศาสตร์โยกงบ 35,000 ล้าน ส่อเค้า “ล้มต้มคนดู” หรือไม่? หลัง ป.ป.ช. มีมติ “ตัดตอน” คดี ชี้มูลแค่ “ครม.เศรษฐา” แต่กลับอุ้ม “สส.-สว.” ที่ทำหน้าที่กดปุ่มโหวตให้พ้นผิดมาตรา 144 อย่างน่ากังขา! “เจษฎ์ โทณะวณิก” บุกยื่นท้าทวนมติ จี้อย่าปล่อย “ผู้ร่วมกระบวนการ” ลอยนวล ท่ามกลางสมรภูมิใหม่ที่เสียงกังขา “โจรจับโจร” กำลังดังกระหึ่มท้าทายรัฐบาล “อนุทิน” ในการล้างบาง “เงินเทา” “สืบจากข่าว” เจาะลึกบทวิเคราะห์สุดเข้มข้นที่สั่นสะเทือนทั้งกระบวนการยุติธรรมและใจกลางอำนาจรัฐ!
กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐสั่นสะเทือนอีกครั้ง เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดคณะรัฐมนตรี “เศรษฐา” ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีโยกงบ 35,000 ล้านบาท แต่กลับไม่ชี้มูลความผิดตาม พ.ร.บ.งบประมาณฯ มาตรา 144 และที่สำคัญคือ “ยกประโยชน์” ให้กับบรรดา สส. และ สว. ที่โหวตผ่านงบประมาณดังกล่าว
ท่าทีดังกล่าวสร้างคำถามตัวโตในสังคม จนนำมาสู่การเคลื่อนไหวของ รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก ในฐานะผู้ร้อง ที่ต้องกลับไปยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. อีกครั้ง เพื่อขอให้ “ทบทวน” มติที่ยัง “ขาดตกและไม่ครบถ้วน”
ชำแหละ “ตรรกะคลาดเคลื่อน” ปม 144
รศ.ดร.เจษฎ์ ระบุว่า “พบว่าหัวใจของปัญหาอยู่ที่ “ความคลาดเคลื่อน” ในการตีความมาตรา 144 ของทั้งศาลรัฐธรรมนูญ (ด้วยความเคารพ) และ ป.ป.ช. ที่ไปมองว่า การแปรญัตติจะผิดมาตรา 144 ได้ ต้องเกิดขึ้นในชั้น “ร่าง” พ.ร.บ.งบประมาณฯ เท่านั้น”
รศ.ดร.เจษฎ์ ตั้งคำถามเชิงวิเคราะห์อย่างดุดันว่า: “ไม่มีร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ฉบับไหนในโลก ที่มีการเอาเงินออกไปใช้จริง! เวลาเอาไปใช้จริง มันต้องใช้ตามกฎหมายที่ออกมาแล้ว… ดังนั้น เวลาที่บอกว่ามีการโยกงบ การกระทำนั้นย่อมเกิดตอนที่เป็นกฎหมายแล้ว… มันจะไปโยกตอนร่างได้อย่างไร?”
โดยเขาชี้ให้เห็นหลักฐานสำคัญที่มัดแน่นอยู่ในตัวบทกฎหมาย คือ “อายุความ 20 ปี”
“เขาจะเขียนอายุความ 20 ปีไว้ทำไม? ถ้าเขาจะเอาแต่ในร่าง” รศ.ดร.เจษฎ์ กล่าว
“ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ยกร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 20 ปี! เขาเขียน 20 ปี เพราะเขารู้ว่ามันเป็นกฎหมายแล้ว มันถึงจะเอาเงินไปใช้ และเขาให้ติดตามเอาเงินคืนด้วย!”
นี่คือ “ข้อขาดตก” ประการแรก ที่ ป.ป.ช. อาจเดินตามแนวทางที่คลาดเคลื่อน จนทำให้มุ่งเป้าไปที่ความผิดอื่น (ม.157) แทนที่จะเป็นความผิดตรงตามมาตรา 144
“ตัวการ” กับ “ผู้สนับสนุน” ใครรอด?
ประเด็นที่เข้มข้นที่สุด คือการที่ ป.ป.ช. มองว่า แม้จะมีการแปรญัตติ แต่เป็นเพราะ “รัฐบาลเศรษฐา” ไปบอกให้ทำ ดังนั้น สส. และ สว. จึงไม่เกี่ยว!?!
รศ.ดร.เจษฎ์ สวนกลับด้วยตรรกะที่น่าคิดว่า: “สส. สว. ต้องมีสติสัมปชัญญะของตัวเองครับ… สมมุติง่ายๆ คุณแอน (พิธีกร) บอกว่า ‘เจษฎ์ ไปตบหัวนายกฯ สิ’ ผมก็เดินไปตบหัวนายกฯ… ตำรวจบอกคุณแอนผิด แต่ผมไม่ผิด? ทำไมผมไม่ผิด? ผมไม่มีสติสัมปชัญญะของตัวเองหรือ?”
การวิเคราะห์นี้ชี้ให้เห็นว่า หาก ครม.เศรษฐา คือ “ตัวการ” หรือ “สารตั้งต้น” ที่โอนเงินเข้าบัญชี (โอนงบไป) บรรดา สส. และ สว. ก็คือ “ผู้สนับสนุน” ที่ทำหน้าที่ “เบิกเงิน” หรือ “กดปุ่ม” ให้เงินนั้นออกไปใช้ได้
“ถ้าไม่มี สส.-สว. ในการผ่านให้… เงินก็ไม่ออก” รศ.ดร.เจษฎ์ ย้ำ “ถ้าจะโดน ก็ต้องโดนทั้งหมด ไม่ใช่โดนเฉพาะแค่สารตั้งต้น”
นี่คือ “ข้อขาดตก” ประการที่สอง ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลไม่ครบถ้วน ปล่อยให้ผู้สนับสนุนในกระบวนการนิติบัญญัติลอยนวล ทั้งที่หากไม่มีพวกเขา การโยกงบ 35,000 ล้านบาทนี้ ย่อมไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
เดินเกมบีบ ป.ป.ช. : “ถ้อยทีถ้อยอาศัย” หรือ “ฟ้อง 157” กลับ?
การกลับไปยื่นหนังสือครั้งนี้ รศ.ดร.เจษฎ์ ใช้คำว่าเป็นการ “ถ้อยทีถ้อยอาศัย” หรือ “ชักชวน” ให้ ป.ป.ช. มาร่วมกันรักษาเงินหลวงในฐานะ “ปวงชนชาวไทย” ด้วยกัน
แต่หากการ “หารือ” นี้ไม่เป็นผล? “สืบจากข่าว” จับสัญญาณได้ถึงทางเลือกที่หนักหน่วงซึ่งผู้ร้องเตรียมไว้:
- ยื่นศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง ว่าการกระทำนี้ขัดรัฐธรรมนูญ
- ร้องวุฒิสมาชิก (สว.) ให้ตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ เพื่อสอบสวนการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. เอง
- ฟ้อง ป.ป.ช. กลับ! ในข้อหา “ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” ตามมาตรา 157 เสียเอง ฐานไม่ดำเนินการไต่สวนให้ครบถ้วน
นี่คือการเดิมพันที่สูงยิ่ง เพื่อไม่ให้กรณีนี้กลายเป็น “เยี่ยงอย่าง” ให้นักการเมืองในอนาคต สามารถ “สมคบคิด” กันระหว่างฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติในการโยกย้ายเงินแผ่นดิน โดยอ้างว่าทำตามขั้นตอนกฎหมาย
ลามสู่ปม “เงินเทา” : รัฐบาลใหม่ ปราบจริง หรือ “โจรจับโจร”?
บทสนทนายังขยายวงไปถึงปัญหา “เงินเทา” แก๊งสแกมเมอร์ และเว็บพนันออนไลน์ ที่กำลังกัดกินประเทศ และท้าทายการทำงานของ “รัฐบาลอนุทิน” และ “ธรรมนัส” ผู้รับผิดชอบการปราบปราม
รศ.ดร.เจษฎ์ วิเคราะห์มุมมองที่สังคมกำลังกังขาต่อความล่าช้าในการปราบปราม ว่าอาจมาจาก 3 สาเหตุ:
- “พวกเดียวกัน?” (โจรจับโจร): “โจรย่อมรู้ว่าโจรคิดอย่างไร” รศ.ดร.เจษฎ์ ตั้งคำถาม “แต่โจรจะจับโจรจริงหรือไม่? โดยเฉพาะถ้าโจรเหล่านั้นเป็นพวกกัน”
- “กลัวจานแตก?” (กลัวกระทบพวกพ้อง): กลัวว่าการปราบปรามจะไปโดน “คนนั้น” ที่เป็นอะไรกับ “คนนี้” หรือกลัวเป็นการ “ทุบหม้อข้าวตัวเอง” เหมือนที่เคยเกิดขึ้นใน สตช.
- “ไร้ประสิทธิภาพ?” (เครือข่ายเหนือกว่ารัฐ): เส้นสายโยงใยของสแกมเมอร์มีประสิทธิภาพสูงกว่ารัฐ โดยเฉพาะเมื่อมี “บ้านอื่นเมืองใด” อย่างกัมพูชาหรือเมียนมาร์ ที่ดู “ชะรอยเสมือนหนึ่งว่าจะช่วยกัมพูชา (เครือข่าย) ซะมากกว่า”
รศ.ดร.เจษฎ์ ทิ้งท้ายอย่างเฉียบคมว่า การปราบปราม “เงินเทา” นี้ จะมีผลโดยตรงต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาชนกำลังชูแคมเปญ “มีเรา เทาหมดสิ้น” แต่หากรัฐบาลนี้ซึ่งกุมอำนาจรัฐอยู่ กลับทำไม่สำเร็จ…
“เขาก็จะตราหน้าว่า ‘มีเทา มีเรา’ … ‘เราคือเทา’!”
สถานการณ์นี้จึงไม่ต่างอะไรกับการวัดใจรัฐบาล ว่าจะเลือก “รักษาเงินหลวง” หรือ “รักษาพวกพ้อง” กันแน่?
#สืบจากข่าว รายงาน



