นับแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา พืชกัญชา ที่ถือว่าเป็น ยาเสพติดทั้งตามข้อเท็จจริงและกฎหมาย ในประเทศส่วนใหญ่ของโลกรวมทั้งไทย ได้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีกฎหมายอะไรห้ามหรือควบคุมมิให้ใครปลูก ครอบครอง หรือสูบ เสพกันตามใจ ไม่ว่าจะในรูปแบบใดในแผ่นดินประเทศไทยอีกต่อไป…!
เนื่องจากได้มีการออกประมวลกฎหมายยาเสพติดพ.ศ.2564 เมื่อวันที่ 8 พ.ย. โดยไม่มีกัญชาเป็นยาเสพติดประเภท 5 เช่นที่ พ.ร.บ.ยาเสพติดเดิมบัญญัติไว้
แต่ก็ยังมีปัญหา กัญชาคงเป็นยาเสพติดผิดกฎหมายอยู่ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขเกิดการโต้แย้ง ในหมู่ผู้รู้ กันไปมาว่า ตำรวจยังสามารถจับกุมดำเนินคดีเสนอให้อัยการสั่งฟ้องได้หรือไม่
แต่ในที่สุด ประชาชนต้องรับเคราะห์ถูกศาลพิพากษาจำคุกไปก็หลายคน!
รัฐมนตรีจึงได้ออกประกาศฉบับใหม่ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 ไม่ให้กัญชาเป็นยาเสพติดอีกต่อไป มีผลในหนึ่งร้อยยี่สิบวันคือ 9 มิถุนายน 2565
โดยที่ยังไม่ได้ออกกฎหมายอะไรมาควบคุมการปลูก ครอบครอง รวมทั้ง “การใช้เพื่อการแพทย์หรือรักษาโรค” ของประชาชนแต่อย่างใด?
นับแต่วันนั้นเป็นต้นมา ประเทศไทยจึงถือเป็นสังคมกัญชาเสรี ตามนโยบายของพรรคการเมืองและรัฐบาลอย่างแท้จริง
ประชาชนทั้งหญิงชายจำนวนมากได้นำต้นกัญชา ซึ่ง ไม่รู้ว่าก่อนนั้นมันถูกเก็บซุกซ่อนไว้หลังบ้านหรือที่ไหน?
หรือเป็น พันธุ์โตไว ใช้เวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมงก็ สูงกว่าหนึ่งเมตร ออกมาวางขายริมถนนหรือหน้าบ้าน หลายจังหวัดมีการจัดงาน มหกรรมกัญชา กันอย่างเอิกเกริก!
ประชาชนผู้นิยมกัญชาได้เวลา ปล่อยผี สูบเสพกันอย่างเสรีในรูปแบบต่างๆ ด้วยความสำราญเบิกบานใจ ถ่ายภาพถ่ายคลิปอวดเพื่อนฝูงและคนทั่วไปให้คนทั่วโลกดู
ผู้มีอำนาจบางคนบอกว่า กัญชานั้นแท้จริงไม่ได้มีพิษภัยอะไรอย่างที่ใครบอก หรือแม้แต่ รัฐไทยในอดีตที่โง่งมงาย ออกกฎหมายให้กัญชากลายเป็นผู้ร้าย ป้องกันมิให้มาแย่งรายได้จากตลาดฝิ่น ทำให้มีประชาชนถูกจับติดคุกต้องรับเคราะห์กรรมกันมากมาย
หลังการ ปล่อยผี ใครที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำซึ่งมีประมาณ 4,000 คน ก็จะถูกปล่อยให้เป็นอิสระและให้ไปรับ กัญชาของกลาง ที่ถูกรัฐยึดไว้คืนได้
ส่วนจะเอาไปจำหน่ายหรือใช้สูบเสพเอง ก็แล้วแต่อัธยาศัย!
ฝรั่งมังค่าขี้ยา พวกนิยมชมชอบกัญชาต่างยกนิ้วให้ประเทศไทย เตรียมเก็บเสื้อผ้าหอบกระเป๋าจะมาเที่ยว แดนสวรรค์ เพื่อหวังสูบกัญชาให้เพลิดเพลินเจริญใจให้คนทั้งโลกอิจฉา
ผู้ประกอบการรีสอร์ตและที่พักตามป่าเขาและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ วางแผนจะนำกัญชามาขายบริการให้ฝรั่งทั้งหญิงชายสูบเสพกันอย่างสำราญบานใจ
ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แอบขายแอบสูบกันบน “เกาะสวรรค์” ทั้งในทะเลอันดามันและที่อ่าวไทย เหมือนในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ปัญหาก็คือว่า กัญชาเป็นพืชที่เสพแล้วไม่ติด รวมทั้งไม่ได้มีพิษภัยอะไรต่อผู้ที่สูบหรือเสพกินเข้าไปจริงหรือไม่?
ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เหตุใดในทุกประเทศทั่วโลกจึงถือเป็นพืชเสพติดผิดกฎหมาย ไม่ได้ส่งเสริมให้ประชาชนสูบเสพกัญชากันอย่างเสรีเช่นที่กำลังกระทำกันในประเทศไทยแต่อย่างใด
นอกจากนั้น กฎหมายที่ว่าจะออกมาเพื่อควบคุมการปลูกและการใช้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีเนื้อหาอย่างไร และ จะสายเกินไปสามารถดึงกลับมาควบคุม ได้อย่างแท้จริงหรือไม่?
อีกทั้งต้องใช้เวลานับจากนี้ไม่น้อยกว่าสามสี่เดือนเป็นอย่างต่ำ!
ส่วนปัญหาข้อโต้แย้งเรื่องกัญชาจะมีผลดีต่อประชาชนและสังคมรวมทั้งชาติหรือไม่มากน้อยเพียงใด ขออนุญาตนำข้อเขียนบางตอน ของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหลอดเลือด โรคทรวงอก และการผ่าตัดหัวใจ ที่ตอบคำถามตามที่มีผู้ข้องใจเรื่องกัญชามาดังนี้
“………ถามว่ากัญชามีข้อดีอะไรบ้าง ถ้าว่ากันตามหลักฐานวิทยาศาสตร์ นอกจากจะใช้รักษาลมชักแบบดื้อด้านในเด็ก ใช้แก้ปวด และอาจใช้ช่วยลดความกังวลและช่วยการนอนหลับในผู้ป่วยบางกลุ่มแล้ว ไม่มีหลักฐานวิจัยว่ากัญชามีดีอย่างอื่นแต่อย่างใด โดยเฉพาะเรื่องที่ว่ากัญชารักษามะเร็งให้หายได้นั้น ไม่มีหลักฐานที่เชื่อถือได้ใดๆ สนับสนุนเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ส่วนการวิจัยใช้กัญชารักษาโรคนั้น ทุกวันนี้ก็ทำกันอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ได้มีใครห้ามทำวิจัยแต่อย่างใด
แต่เมื่อถามว่ากัญชามีข้อเสียอะไรบ้าง ขอตอบว่า งานวิจัยของสถาบันวิชาการแห่งชาติสหรัฐ (NAS) ระบุว่า การใช้กัญชาในคนที่ไม่ได้เป็นโรคทางจิตประสาทมาก่อน จะทำให้เป็นโรคกลัวสังคมมากขึ้น อนึ่ง กัญชานี้แสลงกับโรคจิตประสาทในกลุ่มโรคจิตสองขั้ว (bipolar disorder) และโรคจิตแบบบ้า (psychosis) เพราะจะทำให้ยิ่งบ้าหนักขึ้นไปอีก ในแง่ของหมอหัวใจ กัญชาทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะได้หลายแบบ รวมทั้งแบบอันตรายเช่น AF, VT, และ VF ด้วย
ข้อเสียที่ใหญ่ที่สุดของกัญชาก็คือ มันเป็นยาเสพติดให้โทษ ซึ่งแทบทุกประเทศจัดกัญชาเป็นสารเสพติดกลุ่ม 1 คือมีโทษสูงสุด ข้อมูลของ NAS บ่งชี้ว่ากัญชาเป็นปากทางนำไปสู่การใช้ยาเสพติดที่มีฤทธิ์รุนแรงกว่าทุกชนิดรวมทั้งโคเคน ฝิ่น และเฮโรอีน
ผลเสียของการ ปล่อยผี กัญชา
การที่คนเราอยากจะหนีความคิดของตัวเองไปสู่ความสงบเย็นที่ปลอดอิทธิพลความคิดนั้น มันเป็นธรรมชาติที่ฝังลึกอยู่ในใจของทุกคน แล้วแต่ว่ามันจะโผล่ขึ้นมาช้าหรือเร็ว ทุกคนก็อยากไปตรงนั้น ในบรรดาทางไปซึ่งมีหลายทาง ยาเสพติดเป็นทางหนีที่ง่ายทางหนึ่งแต่กฎหมายได้ช่วยปิดทางกั้นนี้เอาไว้ หากเปิดสิ่งปิดกั้นนี้ออก คนที่หนีความคิดของตัวเองด้วยวิธีอื่นที่เขาคิดว่ามันยาก (เช่นการฝึกวางความคิด) ก็จะเฮโลมาหาทางนี้ เพราะมันง่ายกว่า …………..
มามองผลเสียระดับบุคคล สมมติว่า กัญชาเป็นของถูกกฎหมาย ผมทำงานเป็นหมอผ่าตัดหัวใจ ทุกๆ วัน ผม พี้กัญชา จนเมาตาหวานก่อนที่จะมาทำงาน หากคุณเป็นคนไข้ คุณจะกล้าให้ผมทำผ่าตัดหัวใจให้คุณไหม?
ในระดับชาติ การปล่อยให้ประชาชนหันเข้าหายาเสพติดเพื่อหนีความคิดของตัวเอง เป็นวิธีลัดสั้นและตรงที่สุดที่จะทำให้ชาติฉิบหาย ……………..ถ้าไม่นับคนขี้โลภที่อยากได้เงินจากการค้ากัญชา ผู้สนับสนุนให้แก้กฎหมายกัญชาก็คือผู้ป่วยและหมอ รวมทั้งผู้เห็นอกเห็นใจผู้ป่วยที่เป็นโรคทุกข์ทรมาณกับอาการปวด นอนไม่หลับ กังวล หรือซึมเศร้า จะมียกเว้นก็คือหมอจิตแพทย์ที่ไม่สนับสนุน เพราะกลัวคนที่มีเชื้อบ้าอยู่แล้วจะบ้าหนักขึ้นไปอีก…….”
นี่คือข้อเขียนที่มีคุณค่าเกี่ยวกับกัญชาของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ส่วนการแก้ไขกฎหมายไม่ให้กัญชาเป็นยาเสพติดอีกต่อไป จะทำให้ในที่สุดคนไทยได้ขึ้นสวรรค์หรือ ลงนรก
ก็คงต้องรอเวลาจนกว่าการปลูกโดยไม่ผิดกฎหมายในประเทศครั้งแรกอีกประมาณ 6-9 เดือน จะสามารถ ตัดช่อดอก ซึ่ง เติบโตเต็มที่ และมีสาร THC ออกฤทธิ์ หลอนจิตประสาท มากที่สุด
ผู้คนนำส่วนนี้ไปสูบเสพหรือ ใส่ต้มไก่ให้ลูกหลานกินครายเครียด ถือเป็นโรคประเภทหนึ่ง ซึ่งผลต่อร่างกายจากการเสพหรือกินช่อดอกจะเป็นอย่างไร?
แต่ละคนทั้งหญิงชายจะสามารถลุกไปทำงาน กล้าขับยานพาหนะ ไม่ว่าจะเป็นรถบรรทุก รถยนต์ รถจักรยานยนต์ ควบคุมเครื่องจักรกล หรือแม้กระทั่งกล้าเดินลงบันไดกลับบ้านหรือไม่?
ต้องให้ คนที่เคยสูบเสพช่อดอก เป็นผู้ตอบ
x]f]hvddyP=kไม่ใช่ พ่อค้ากัญชา ที่ได้แต่บอกและพูดกรอกหูประชาชนอยู่ทุกวันว่า ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด!.