วันเสาร์, กันยายน 21, 2024
หน้าแรกไม่มีหมวดหมู่กสม. ตรวจสอบกรณีผู้ต้องหาไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายและถูกละเมิดสิทธิในเกียรติยศและชื่อเสียง ระหว่างการควบคุมตัวของตำรวจ แนะ สตช. เยียวยาครอบครัว – ชงแก้ไขระเบียบคัดกรองคนต่างด้าวที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ มุ่งคุ้มครองทุกกลุ่มให้ไม่ถูกผลักดันกลับสู่อันตราย

Related Posts

กสม. ตรวจสอบกรณีผู้ต้องหาไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายและถูกละเมิดสิทธิในเกียรติยศและชื่อเสียง ระหว่างการควบคุมตัวของตำรวจ แนะ สตช. เยียวยาครอบครัว – ชงแก้ไขระเบียบคัดกรองคนต่างด้าวที่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ มุ่งคุ้มครองทุกกลุ่มให้ไม่ถูกผลักดันกลับสู่อันตราย

วันที่ 25 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.30 น. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) โดยนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ นายภาณุวัฒน์ ทองสุข ที่ปรึกษาสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงข่าวเด่นประจำสัปดาห์ครั้งที่ 19/2566 โดยมีวาระสำคัญดังนี้

  1. กสม. ชี้ผู้ต้องหาที่ถูกจับภายหลังถ่ายภาพนักกีฬายิมนาสติก ไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายและถูกละเมิดสิทธิในเกียรติยศและชื่อเสียง ระหว่างการควบคุมตัวของตำรวจ แนะ สตช. เยียวยาครอบครัว

นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2565 จากผู้ร้องรายหนึ่งระบุว่า ผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุตรชายของผู้ร้องไม่ได้รับสิทธิตามกฎหมายและถูกถ่ายภาพเผยแพร่สู่สาธารณะ จากกรณีที่บุตรชายของผู้ร้อง ได้เข้าไปชมและถ่ายภาพการแข่งขันกีฬายิมนาสติก เมื่อเดือนกันยายน 2563 ณ อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ แต่ถูกกลุ่มบุคคลซึ่งเป็นผู้ปกครองของนักกีฬาเข้ามารุมแย่งกล้องถ่ายภาพโดยอ้างว่าบุตรชายของผู้ร้องถ่ายภาพนักกีฬาในลักษณะลามกอนาจาร จากนั้นบุตรชายของผู้ร้องถูกทำร้ายร่างกายและข่มขู่ ต่อมามีเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ปทุมวัน (ผู้ถูกร้อง) จำนวนหนึ่ง ได้จับกุมและนำตัวบุตรชายของผู้ร้องไปยัง สน.ปทุมวัน และให้บุตรชายของผู้ร้องนั่งบนเก้าอี้แล้วใส่กุญแจมือไขว้หลังนานถึง 3 ชั่วโมง ระหว่างนั้นมีผู้ปกครองของนักกีฬาบางคนบันทึกภาพบุตรชายของผู้ร้องแล้วนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่าจะดำเนินคดีกับบุตรชายของผู้ร้องในข้อหาทะเลาะวิวาทและก่อความวุ่นวาย ผู้ร้องเห็นว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ไม่ถูกต้องและเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุจากการใส่กุญแจมือ ปล่อยให้บุคคลอื่นถ่ายภาพบุตรชายผู้ร้องไปเผยแพร่ และไม่ให้การรักษาพยาบาลบุตรชายผู้ร้องซึ่งได้รับบาดเจ็บในขณะนั้น จากนั้นเมื่อเดือน พฤศจิกายน 2564 บุตรชายของผู้ร้องได้เสียชีวิตจากการผูกคอโดยใส่กุญแจมือไขว้หลังเพื่อเป็นการประท้วงความอยุติธรรมที่ได้รับจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ได้ให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิในชีวิตและร่างกายของบุคคลไว้ การจับและการคุมขังบุคคลจะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา วางหลักไว้ว่า ห้ามมิให้ใช้วิธีควบคุมผู้ถูกจับเกินกว่าที่จำเป็นเพื่อป้องกันมิให้หลบหนีเท่านั้น โดยการใช้เครื่องพันธนาการต้องใช้เท่าที่จำเป็นโดยพิจารณาถึงฐานความผิด ตัวบุคคล กิริยาหรือความประพฤติ เป็นต้น ซึ่งกรณีตามคำร้อง กสม. เห็นว่ามีประเด็นที่ต้องพิจารณา ดังต่อไปนี้

ประเด็นที่หนึ่ง กรณีผู้ร้องกล่าวอ้างว่า การจับกุมบุตรชายของผู้ร้องเป็นไปโดยไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจสอบเหตุตามที่ได้รับแจ้งเหตุ พบว่า มีความวุ่นวายจากการที่บุคคลที่อยู่ในสนามแข่งขันยิมนาสติกพยายามจับตัวบุตรชายของผู้ร้องซึ่งมีพฤติกรรมโวยวาย พยายามทำร้ายร่างกายผู้อื่นและจะหลบหนี จึงมีความจำเป็นที่จะต้องจับกุมและใส่กุญแจมือไว้ ซึ่งความวุ่นวายดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลภาพข่าวที่ปรากฏในสื่อมวลชน และคำพิพากษาของศาลแขวงปทุมวันในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยรายหนึ่งที่ทำร้ายร่างกายบุตรชายของผู้ร้อง ดังนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจย่อมต้องระงับเหตุหรือป้องกันความปลอดภัยให้แก่บุคคลต่าง ๆ อันเป็นการทำหน้าที่เพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ในชั้นนี้ จึงเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการจับกุมบุตรชายของผู้ร้อง

ประเด็นที่สอง กรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุในการใช้เครื่องพันธนาการ (กุญแจมือ) บุตรชายของผู้ร้อง เห็นว่า การใช้เครื่องพันธนาการกับผู้ต้องหาต้องพิจารณาใช้ตามความจำเป็นเพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาหลบหนีไปจากการควบคุมเท่านั้น การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจใส่กุญแจมือบุตรชายของผู้ร้องไว้เป็นเวลากว่า 3 ชั่วโมง ทั้งที่สามารถควบคุมตัวได้แล้วตั้งแต่ขณะไประงับเหตุที่สนามกีฬาแห่งชาติ จึงเป็นการใช้อำนาจที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายเกินสมควรแก่เหตุ อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่สาม กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่นำตัวบุตรชายของผู้ร้องที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายร่างกายไปรับการรักษาพยาบาลในระหว่างการควบคุมตัว ทั้งที่ผู้ร้องได้แจ้งและขอให้นำตัวบุตรชายไปรับการรักษาก่อนแล้ว เห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจละเลยต่อการทำหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของผู้ต้องหาที่ต้องได้รับการรักษาพยาบาลเมื่อเกิดการเจ็บป่วย อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่สี่ กรณีผู้ร้องกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจปล่อยให้มีบุคคลเข้าไปถ่ายภาพบุตรชายแล้วนำไปเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ จากการตรวจสอบพบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวสื่อสังคมออนไลน์มีการเผยแพร่ภาพถ่ายของบุตรชายผู้ร้องขณะถูกใส่กุญแจมืออยู่ภายในห้องปฏิบัติงานของ สน. ปทุมวัน จริง แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดละเลยให้มีการถ่ายภาพและไม่เห็นว่ามีการถ่ายภาพในช่วงเวลาใด อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่า การถ่ายภาพต้องกระทำในขณะที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวบุตรชายของผู้ร้อง การชี้แจงดังกล่าวจึงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง ทั้งนี้ บุตรชายของผู้ร้องได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สน. ศาลาแดง ขอให้ดำเนินคดีกับบุคคลที่นำภาพถ่ายของตนในขณะถูกใส่กุญแจมือไปเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์แล้ว โดยคดีอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวน ในชั้นนี้ จึงเห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเพียงพอต่อการคุ้มครองสิทธิในเกียรติยศและชื่อเสียงของบุตรชายของผู้ร้อง จึงเป็นการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่ห้า กรณีผู้ร้องกล่าวอ้างว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดำเนินคดีกับผู้ที่ทำร้ายร่างกายบุตรชาย จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า ตามที่บุตรชายของผู้ร้องถูกกล่าวหาว่าถ่ายภาพนักกีฬายิมนาสติกในลักษณะลามกอนาจาร จนเป็นเหตุให้ถูกทำร้ายร่างกายนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบภาพถ่าย ปรากฏว่าภาพถ่ายดังกล่าวไม่เข้าข่ายอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา และต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับผู้ที่ทำร้ายร่างกายบุตรชายของผู้ร้อง กระทั่งศาลแขวงปทุมวันได้พิพากษาลงโทษแล้ว จึงถือว่ามีการแก้ไขปัญหาอย่างเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีกับผู้ที่ทำร้ายร่างกายบุตรชายของผู้ร้องเมื่อเวลาผ่านไปนับจากวันที่เกิดเหตุการณ์กว่า 1 ปี และภายหลังดำเนินคดีปรากฏว่าคดีไม่มีความคืบหน้าจนผู้ร้องต้องมีหนังสือถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อติดตามเรื่องเองจนกระทั่งศาลพิพากษาเสร็จสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ให้ความใส่ใจที่เพียงพอในการอำนวยความยุติธรรมและให้สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมแก่บุตรชายของผู้ร้องในฐานะเป็นผู้เสียหาย

จากเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2566 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะในการป้องกันหรือแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวัน (ผู้ถูกร้อง) กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมถึงการไม่ได้ให้ความใส่ใจและใช้ความรอบคอบที่เพียงพอที่จะอำนวยความยุติธรรมและให้สิทธิในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมแก่บุตรชายของผู้ร้องในฐานะเป็นผู้เสียหายในคดีถูกทำร้ายร่างกาย และนำผลการตรวจสอบไปกำหนดแนวทางเพื่อป้องกันมิให้เกิดการละเมิดสิทธิฯ ในลักษณะนี้อีก นอกจากนี้ให้พิจารณาหาแนวทางเยียวยาความเสียหายให้แก่ครอบครัวของผู้ร้อง ซึ่งอย่างน้อยจะต้องขอโทษต่อครอบครัวของผู้ร้อง และเร่งรัดให้พนักงานสอบสวน สน.ศาลาแดง ดำเนินคดีกับบุคคลที่นำภาพถ่ายบุตรชายของผู้ร้องในขณะถูกใส่กุญแจมือไปเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts