การพบกันระหว่างประธานาธิบดี สีจิ้นผิง กับ ดร.เฮนรี คิสซินเจอร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ เมื่อวันพฤหัสบดี (20 ก.ค.2023) หลังการฉลองวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 100 ปี ของ ดร. คิสซินเจอร์ ณ เรือนรับรองเตี้ยวอวี๋ไถ กรุงปักกิ่งของจีน ถือว่ามีนัยสำคัญเป็นพิเศษที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
การพบกันดังกล่าว ปธน.สี ได้ย้อนกล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อ 52 ปีก่อนที่ประธานเหมา เจ๋อตง นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน รวมถึง ดร. คิสซินเจอร์ ได้ตัดสินใจด้วยวิสัยทัศน์เชิงยุทธศาสตร์ในความร่วมมือจีน-สหรัฐฯ ดำเนินกระบวนการปรับปรุงความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ กลับสู่ภาวะปกติ ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าว ส่งผลประโยชน์ต่อสองประเทศและเปลี่ยนแปลงโลกมาจนถึงปัจจุบัน
“ชาวจีนไม่เคยลืมเพื่อนเก่าหรือคุณูปการทางประวัติศาสตร์ของ ดร. คิสซินเจอร์ ในการส่งเสริมการเติบโตของความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ และขยับขยายมิตรภาพระหว่างประชาชนสองประเทศ” ปธน.สี กล่าวพร้อมเน้นย้ำว่า โลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ไม่เคยพานพบมาก่อนในรอบศตวรรษ และภูมิทัศน์ระหว่างประเทศกำลังก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยจีนและสหรัฐฯ มาถึงทางแยกอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองฝ่ายจำต้องตัดสินใจอีกครั้งว่าจะก้าวไปทางไหน
ขณะที่ ดร.คิสซินเจอร์กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน การรักษาหลักการที่กำหนดไว้ใน “แถลงการณ์ร่วมเซี่ยงไฮ้” ถือเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยง พร้อมเข้าใจที่จีนให้ความสำคัญสูงสุดกับหลักการจีนเดียว และขับเคลื่อนความสัมพันธ์ในทิศทางเชิงบวก โดยเขาแสดงความมุ่งมั่นจะพยายามอำนวยความสะดวกแก่การทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ระหว่างชาวอเมริกันและชาวจีนอย่างต่อเนื่อง
ย้อนกลับไปในช่วงต้นทศวรรษ 1970 ประธานเหมา เจ๋อตง และ นายกรัฐมนตรีโจว เอินไหล วางข้อกำหนดเชิงกลยุทธ์ในการปรับความสัมพันธ์สามเหลี่ยมขนาดใหญ่ระหว่างจีน สหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต โดยรัฐบาลจีนได้ส่งข้อความถึงรัฐบาลสหรัฐฯ เกี่ยวกับข้อเสนอของสหรัฐฯ ในการจัดให้มีการเจรจาระดับสูงระหว่างทั้งสองฝ่าย ฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา โดยสหรัฐฯ จะต้องถอนกองกำลังติดอาวุธทั้งหมดออกจากไต้หวันของจีน รัฐบาลจีนพร้อมต้อนรับการเยือนของผู้นำสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในกรุงปักกิ่ง ซึ่งมี ทูตพิเศษของประธานาธิบดีสหรัฐฯ เช่น เฮนรี่ คิสซิงเกอร์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯขณะนั้น หรือแม้แต่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เอง เพื่อร่วมประชุมและหารือโดยตรง
กลางเดือนพฤษภาคม 1971 ประธานาธิบดี นิกสัน กล่าวว่า “เขาพร้อมเยือนปักกิ่งเพื่อสนทนาโดยตรงกับผู้นำของสาธารณรัฐประชาชนจีน แก้ปัญหาความแตกแยกของทั้งสองประเทศ”
การพบกันครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 1972 ประธานาธิบดีนิกสันและคณะสมาชิกพรรคฯ ได้เดินทางถึงกรุงปักกิ่งและเยือนประเทศจีนเป็นเวลา 7 วัน ได้พบกับประธานเหมา เจ๋อตง และพูดคุยกับนายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ ที่เน้นประเด็นปัญหา “อินโดจีน” และ “ไต้หวัน” หลังจากการปรึกษาหารือกันหลายรอบ ฝ่ายจีนและสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมเซี่ยงไฮ้ หรือที่รู้จักในชื่อ Shanghai Communiqué เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 1972
“แถลงการณ์ร่วมเซี่ยงไฮ้” (Shanghai Communiqué, 1972) เน้นว่าทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะดำเนินความสัมพันธ์แบบรัฐต่อรัฐในหลัก 5 ประการของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ได้แก่ 1.การเคารพอำนาจอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนซึ่งกันและกัน 2.ไม่รุกรานซึ่งกันและกัน 3.ไม่แทรกแซงกิจการภายในประเทศซึ่งกันและกัน 4.รักษาความเท่าเทียม และ 5.ผลประโยชน์ร่วมกัน
ความก้าวหน้าสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา จึงอยู่ในผลประโยชน์ของทุกประเทศ ทั้งสองต้องการลดความขัดแย้งทางทหารระหว่างประเทศ ไม่แสวงหาอำนาจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และแต่ละประเทศไม่เห็นด้วยกับความพยายามของประเทศหรือกลุ่มประเทศอื่นใดในการจัดตั้งอำนาจดังกล่าว
สหรัฐฯ กับ จีน ต่างเห็นว่าการที่ชาติใดชาติหนึ่งจะสมรู้ร่วมคิดกับอีกประเทศหนึ่งกับประเทศอื่น ๆ หรือสำหรับประเทศใหญ่ ๆ ที่จะแบ่งโลกออกเพื่อผลประโยชน์ คือการกระทำอันเป็นการขัดต่อผลประโยชน์ของประชาคมโลก
ฝ่ายจีนยืนยันในแถลงการณ์ร่วมเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Communiqué) ด้วยจุดยืนว่า “จีนเป็นรัฐบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายของจีนแต่เพียงผู้เดียว ไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งของประเทศจีนซึ่งได้กลับคืนสู่แผ่นดินมาตุภูมิมานานแล้ว การปลดปล่อยไต้หวันเป็นเรื่องภายในของจีน ไม่มีประเทศอื่นใดมีสิทธิที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว กองกำลังสหรัฐและหน่วยงานทางทหารทั้งหมดจะต้องถอนตัวออกจากไต้หวัน รัฐบาลจีนคัดค้านกิจกรรมใดๆ ที่มุ่งแยก “หนึ่งจีน หนึ่งไต้หวัน”
ฝ่ายสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ยอมรับว่าชาวจีนทุกคนที่ช่องแคบไต้หวันทั้งสองฝั่งมีจีนเพียงหนึ่งเดียว และไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีน รัฐบาลสหรัฐฯไม่ท้าทายสถานะนั้น และยืนยันว่าปัญหาไต้หวันจะยุติอย่างสันติโดยชาวจีนเอง พร้อมยืนยันวัตถุประสงค์สูงสุดของการถอนกองกำลังสหรัฐฯ และฐานทัพทหารทั้งหมดออกจากไต้หวัน เพื่อลดความตึงเครียดในพื้นที่
แถลงการณ์ฯ ยังกำหนดว่าทั้งสองฝ่ายจะอำนวยความสะดวกในการพัฒนาการค้าทวิภาคีที่ก้าวหน้าและการพัฒนาต่อไปของการติดต่อและการแลกเปลี่ยนระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วัฒนธรรม กีฬา และสื่อสารมวลชน ติดต่อกันผ่านช่องทางต่างๆ รวมถึงการส่งผู้แทนอาวุโสของสหรัฐฯ ไปยังปักกิ่งเป็นครั้งคราวเพื่อปรึกษาหารือที่เป็นรูปธรรม เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้เป็นปกติยิ่งขึ้น
แถลงการณ์ร่วมเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Communiqué) จึงถือเป็นการพูดคุยครั้งประวัติศาสตร์ ที่ส่งสัญญาณการเริ่มต้นกระบวนการปรับความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกา
การพบกันระหว่าง ปธน.สีจิ้นผิง และ ดร.เฮนรี คิสซินเจอร์ ซึ่งถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญของแถลงการณ์ร่วมเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Communiqué) เมื่อ 50 กว่าปีก่อน จึงเป็นหนึ่งความหวังจะลดทอนความบาดหมางในปัจจุบันให้เบาบางลง