“…ต้องตรวจฉี่ พัวพันยาเสพติด ต้องตรวจสอบการเสียภาษี ดูเหมือน ครม.เศรษฐา 1 ทำท่าจะไม่แข็งแรงดั่งหินผา แต่อ่อนนิ่มเละเหมือนเต้าหู้ยี่ แค่ยังไม่ได้เริ่มงานก็อ่อนยวบยาบซะแล้ว ภายในเดือนกันยายนนี้ นายเศรษฐา จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว ขอให้วัดกันที่ผลงาน แต่นักดูฤกษ์ ดูดาวทางโหราศาสตร์บางคนกลับบอกว่าดวงไม่น่าจะพุ่งขึ้น กลับจะดิ่งลงตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม จนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ขออย่าให้หมอดูทายถูกเลยครับ ประเทศไทยถึงเวลาจะได้เจริญศิวิไลย์ คนส่วนใหญ่หายจน มีกินมีใช้ ถ้าจะดวงตก ก็ลงช้าๆ ลงนิ่มๆนะครับ เดี๋ยวจะเละเป็นเต้าหู้ยี้…”
ไทยเราใกล้จะได้คณะรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศแทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แล้ว หลังจากผ่านการเลือกตั้งมาแล้วหลายเดือน ท่ามกลางความพลิกผันทางการเมืองฝุ่นตลบ และเมื่อนายเศรษฐา ทวีสิน ได้รับโปรดเกล้า โปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะเข้าสู่ขั้นตอนการวางตัวผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งตอนนี้มีรายงานว่าได้ชื่อครบทุกตำแหน่งแล้ว
แค่โผรายชื่อออกมาเสียงแห่งการตรวจสอบก็ดังออกมาอื้ออึง
นางอมรัตน์ แกนนำพรรคก้าวไกล โพสต์แนะให้ตรวจฉี่ว่าที่รัฐมนตรีบางคนก่อนเข้ารับตำแหน่ง หลังโจมตีเห็นโผ ครม. แล้วขยะแขยง
โดยนางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีต สส.บัญชีรายชื่อ และแกนนำพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความเฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์ถึงการจัดตั้งรัฐบาลชุดนี้อย่างต่อเนื่อง โดยระบุว่า “ใครเห็นสมควรให้มีการตรวจฉี่ว่าที่รัฐมนตรีบางคนก่อนรับตำแหน่งบ้าง”
แถมก่อนหน้านี้นางอมรัตน์ เคยได้โจมตีหลังมีการเปิดเผยโผคณะรัฐมนตรีว่า “เห็นโผรายชื่อ ครม.แล้วขยะแขยง”
ไม่รู้ว่านางอมรรัตน์ เธอหมายถึงใคร แต่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส. อุทัยธานี รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็โดดออกมางับเหยื่อทันที โดยนายชาดา กล่าวสั้นๆ ในประเด็นนี้ว่า “ไม่มีอะไร เป็นเรื่องไร้สาระ แต่ตนเองพร้อมตรวจ โดยตรวจกับตน 2 คนเลยก็ได้ ไม่ต้องตรวจแต่ปัสสาวะ ตรวจเลือดด้วยก็ได้ ทั้งนี้ ตนเองไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ และไม่อยากโต้ตอบ ผมไม่อยากเล่นกับพวกชกใต้เข็มขัด”
สำหรับตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความประจำตัว นายทักษิณ ชินวัตร, อดีตประธานที่ปรึกษากฎหมาย พรรคไทยรักษาชาติ ถูกวางตัวอย่างโดดเด่น ไม่กลัวการถูกตรวจสอบ ท่ามกลางการแฉถี่ยิบ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง โดย นายพิชิต หรือ “ทนายถุงขนม” เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะคนสนิท นายทักษิณ ชินวัตร เคยทำหน้าที่หัวหน้าทีมทนายความให้นายทักษิณ แต่ต่อมาจากทนายกลายเป็นจำเลยคดีติดสินบนศาล กรณีหิ้วถุงขนมใส่เงินสด 2,000,000 บาท มอบให้เจ้าหน้าที่ธุรการศาล ขณะที่นายทักษิณต่อสู้คดีที่ดินรัชดาฯ ต่อมาถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือนไม่รอลงอาญา ฐานละเมิดอำนาจศาล ในวันที่ 10 มิ.ย.2551 พร้อมถูกถอดชื่อออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความเป็นเวลา 5 ปี จากสภาทนายความ
นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถึงกับโพสต์ ว่าสภาทนายความมีมติให้ลงโทษหนักสุดให้ลบชื่อนายพิชิตออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายความได้จนถึงปัจจุบันนี้ แม้นายพิชิต จะพยามยื่นขอจดทะเบียนเป็นทนายความใหม่อีกสามครั้ง หลังจากพ้นโทษไปแล้วห้าปีตามข้อบังคับ แต่ก็ถูกกรรมการสภาทนายความตีตกไม่อนุญาตจดทะเบียนทนายความให้ เพราะเห็นว่าความผิดที่ถูกลงโทษเป็นเรื่องร้ายแรง
นายเชาว์กล่าวว่า “เป็นที่ประจักษ์ชัดจากคำวินิจฉัยศาลฎีกา ว่านายพิชิตมีคุณสมบัติส่วนตัว ขัดกับรัฐธรรมนูญมาตรา 160 ที่กำหนดให้รัฐมนตรีต้อง (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ (5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐาน ทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง จึงขอเตือนไปยังผู้ที่มีหน้าที่ได้กลั่นกรองให้รอบคอบ ก่อนเสนอขึ้นทูลเกล้าฯ “
อีกทั้งเมื่อวันที่ 30 ส.ค.66 นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พชปร.) เผยว่า จากการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของ ส.ส.ที่พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมีการเปิดเผยไว้ในเว็บไซต์ของ ป.ป.ช.กว่า 500 คน นั้น พบข้อสังเกตที่ควรตรวจสอบนับร้อยราย วันนี้เป็นกรณีของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ในเรื่องภาษีเงินได้ ตนจึงได้ส่งหนังสือทางไปรษณีย์ EMS ถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้พิจารณาสั่งการให้กรมสรรพากรตรวจสอบกรณีของนายชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่แจ้งรายได้รวมต่อปี 28,012,720 บาท เมื่อหักรายได้ค่าขายนาฬิกา 1 เรือน 8,000,000 บาท (น่าจะเป็นการขายสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมเสียภาษี) ควรจะเหลือรายได้ที่นำไปเสียภาษี 20,012,720 บาท ดังนั้น เงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร ที่แจ้งไว้ 6,036,751.38 บาท จึงมีผลต่างเป็นจำนวนประมาณเกือบ 14 ล้านบาท (20,012,720 – 6,036,751.38) กรณี นี้จึงมีเหตุอันควรขอให้มีการตรวจสอบภาษีต่อไปว่ามีการนำรายได้ที่แจ้งต่อ ป.ป.ช. ไปชำระภาษีให้แก่กรมสรรพากรโดยถูกต้องครบถ้วน หรือไม่?
นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรีที่มีความเกี่ยวพันกับยาเสพติด มีคดีในอดีตต้องติดคุกเพราะคดีนาเสพติด แต่ได้ถูกรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ฟอกขาวให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้มีโผในตำแหน่งใหญ่กว่าเดิมอีกด้วย
แม้ตัวนายเศรษฐาเอง ก็ยังมีชนักติดหลังจากการแฉของ นาย ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ อดีตนักการเมือง ที่ตั้งข้อสังเกต กล่าวหา ‘เศรษฐา ทวีสิน’ สมัยที่ยังเป็น ผู้บริหารแสนสิริ จำกัด(มหาชน) ชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติ การโอนซื้อขายที่ดิน ทำเลทองย่านสารสิน ของบริษัทแสนสิริ มีการสมคบคิด มีเจตนา หลบเลี่ยง หรือ เสียภาษีน้อยลง ทำให้ ภาครัฐเสียประโยชน์ ได้รับภาษีน้อยลงหรือไม่?
แม้นาย เศรษฐาจะออกมาปฏิเสธ เสียงแข็งว่า ‘ในขณะที่ตนเป็นผู้บริหารบริษัทฯ ที่ดินแปลงสารสินซื้อมาตามราคาตลาดที่เหมาะสม ส่วนที่ดินแปลงทองหล่อซื้อมาในราคา ตารางวาละ 1,100,000 บาท ซึ่งเป็นราคาตลาดตามปกติในขณะนั้น
การกระทำใดๆ ที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริง ฝ่ายกฎหมายจะรวบรวมข้อมูลเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง และต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุดอย่างแน่นอน การที่ฝ่ายกฎหมายของบ้านเมืองเข้ามาตรวจสอบ เป็นเรื่องที่ถูกต้องและพึงกระทำ แต่การที่บุคคลหนึ่งปลุกปั่น ตั้งสมมติฐานขึ้นมาเอง โดยมีเป้าหมายบางประการ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง’
เรื่องนี้ได้เกิดวาทกรรมในโลกออนไลน์ ตอบโต้กลับไปมาระหว่างนาย เศรษฐา ที่ฟ้องชูวิทย์ไปแล้ว ส่วนชูวิทย์ เดินหน้า ฟ้องกลับ พร้อมกับยื่นเอกสารให้หน่วยงานเกี่ยวข้องตรวจสอบ ชนิด ไม่มีใครยอมใคร เรื่องราวถึงชั้นศาลต่อสู้กันอีกยาวแน่นอน
ปมนี้หากนายชูวิทย์ ยื่นเรื่องไปที่ปปช. แล้วปปช.รับเรื่องไว้พิจารณา ปัญหาต้องเกิดขึ้นอีกแน่
เรื่องนี้ นายเศรษฐา ยอมรับว่า สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ขอให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล ให้เกียรติคณะเจรจาจัดตั้งรัฐบาล และต้องให้เกียรติว่าที่รัฐมนตรีด้วย ทั้งนี้ รัฐบาลมีภารกิจสำคัญ และมีเป้าหมายชัดเจน ขอวัดด้วยเรื่องตรงนี้ เพราะทุกคนต้องเริ่มงานกันแล้ว
ดูเหมือน ครม.เศรษฐา 1 ทำท่าจะไม่แข็งแรงดั่งหินผา แต่อ่อนนิ่มเละเหมือนเต้าหู้ยี่ แค่ยังไม่ได้เริ่มงานก็อ่อนยวบยาบซะแล้ว … ภายในเดือนกันยายนนี้ นายเศรษฐา จะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่นักดูฤกษ์ ดูดาวทางโหราศาสตร์บางคนกลับบอกว่าดวงไม่น่าจะพุ่งขึ้น กลับจะดิ่งลงตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม จนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า
ขออย่าให้หมอดูทายถูกเลยครับ ประเทศไทยถึงเวลาจะได้เจริญศิวิไลย์ คนส่วนใหญ่หายจน มีกินมีใช้ ถ้าจะดวงตก ก็ลงช้าๆ ลงนิ่มๆนะครับ เดี๋ยวจะเละเป็นเต้าหู้ยี้!!!
#สืบจากข่าว รายงาน