นางสาวนงลักษณ์ อยู่เย็นดี ผู้อำนวยการสำนักงานเซี่ยงไฮ้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวจีนพร้อมออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังไทยแล้ว โดยเฉพาะในมณฑลเซี่ยงไฮ้ เจ้อเจียง เจียงซู หูเป่ย์ ชานตง อานฮุย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางเข้าประเทศไทย เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีรายได้สูง ทำให้เอเย่นต์ทัวร์จีนหลายรายก็เริ่มวางแผนทำชาร์เตอร์ไฟลต์เข้าไทยในช่วงตรุษจีนแล้ว ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ ประเทศไทยจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดภาพลักษณ์ในเรื่องหรือข่าวเชิงลบออกมาเพิ่มเติมอีก เนื่องจากนักท่องเที่ยวจีนให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่ง
จากข้อมูลพบว่านักท่องเที่ยวจีนนิยมเที่ยวไทยสูงมากในช่วงวันตรุษจีน ขณะนี้จึงเริ่มมีเอเจนท์หลายพื้นที่เปิดขายแพคเกจท่องเที่ยวในช่วงวันตรุษจีนแล้ว อย่างเช่น กระบี่ ภูเก็ต โดยหากมีการตอบรับที่ดี คาดว่าจะมีการขยายเพื่อขายต่อในเดือนเมษายน 2567 ที่มีเทศกาลสกรานต์ของไทยด้วย แต่สิ่งที่ต้องทำคือ การนำเสนอภาพเชิงบวกของไทยออกไปให้มากที่สุด เพราะตอนนี้ข่าวเชิงลบยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำนักท่องเที่ยวจีนยังไม่ตัดสินใจออกเดินทางมาเที่ยวไทย โดยคู่แข่งสำคัญของไทยคือ ญี่ปุ่น และเกาหลี ที่ผ่านมาขับเขี้ยวกันมาตลอด โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีภาพลักษณ์ในเรื่องความปลอดภัยสูง มีสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวระดับบนได้
“จากกราฟข้อมูลจะเห็นว่าตั้งแต่จีนเปิดประเทศ ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเที่ยวไทยพุ่งขึ้นสูงมาก แต่เมื่อมีข่าวเชิงลบตัวเลขนักท่องเที่ยวก็ปรับลดลงทันที อย่างเช่น ช่วงเดือนเมษายน การขอวีซ่าทัวร์ใช้เวลานานหลายสิบวัน ข่าวแก๊งคอลเซนเตอร์ และเหตุกราดยิงห้างสรรพสินค้ากลางเมือง ตัวเลขก็ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความสำคัญของข่าวเชิงลบที่มีผลกระทบต่อตลาดนักท่องเที่ยวจีนสูงมาก ทำให้จากนี้การทำคอนเทนต์เพื่อสื่อสารมุมมองแง่บวกถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
นางสาวนงลักษณ์ กล่าวว่า ในพื้นที่ดังกล่าวปัจจุบันยังคงมีดีมานด์การเดินทางต่อเนื่อง จำนวนที่นั่งสายการบินไม่มีปัญหา โดยพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเปลี่ยนแปลงไป ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (เอฟไอที) เพราะนักท่องเที่ยวจากเมืองเหล่านี้ ถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มคนรวย ผู้ประกอบการทัวร์สามารถขายแพคเกจทัวร์ในราคาสูงได้ เพราะมีกำลังซื้อพร้อมจ่าย สะท้อนจากโรงแรม 4-5 ดาว จะมียอดจองมากกว่าโรงแรมระดับอื่น หรือหากเดินทางผ่านทัวร์นำเที่ยวก็นิยมเดินทางเป็นกลุ่มเล็กลงมากขึ้น ไม่อยากเดินทางกับคนไม่รู้จัก และหากอยากเดินทางไปที่ใด จะเข้าไปพูดคุยกับเอเจนท์ทัวร์ให้จัดทำแพคเกจท่องเที่ยวให้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการตัวเองให้มากที่สุด จุดหมายปลายทางหลักยังเป็นกรุงเทพฯ และภูเก็ต
นางสาวนงลักษณ์ กล่าวว่า ปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนไปเที่ยวไทยกว่า 11 ล้านคน ออกจากเซี่ยงไฮ้ และพื้นที่ที่ดูแลประมาณ 4 ล้านคน โดยจีนประสบปัญหาปัญหาเศรษฐกิจไม่ดีมากเท่าที่ควร คาดว่าปี 2566 จะเติบโตประมาณ 5% ซึ่งถือว่าไม่มากนัก เพราะจีดีพีจีนจะโตประมาณ 8% ทำให้ปัญหาอสังหาริมทรัพย์ เป็นปัญหาใหญ่ มีผลกระทบต่อจีดีพีจีนในภาพรวม จึงเห็นคนกลุ่มชนชั้นกลางได้รับผลกระทบเยอะ ซึ่งกลุ่มเหล่านี้เป็นกลุ่มเดินทางท่องเที่ยว ที่ตอนนี้หายไป รวมถึงข่าวเชิงลบต่างๆ ของประเทศไทยที่มีอย่างต่อเนื่อง เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีมากนัก กลุ่มที่เดินทางอยู่ก็เป็นกลุ่มคนระดับบนขึ้นไป ไม่เกี่ยงเรื่องราคา ขอแค่มีคุณภาพ อาทิ เที่ยวบินที่เต็มก่อนจะเป็นชั้นบิสซิเนสคลาส สะท้อนถึงความต้องการในบริการที่ยกระดับคุณภาพมากขึ้น
นอกจากนั้น ประเทศไทยยังเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของจีน ที่หากเศรษฐกิจดี จำนวนดีมานด์จะกลับมาเท่าเดิม โดยคาดการณ์ว่า ปี 2566 คนจีนไปเที่ยวต่างประเทศมีเพียง 90 ล้านคน เท่านั้น ฟื้นจากปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 กลับมาเพียง 58% จากจำนวนประมาณ 15 ล้านคนในผี 2562 แต่ยังคาดหวังว่าปี 2567 จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ ซึ่งหากประเมินภาพการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศของชาวจีน ปีนี้เดินทางออกนอกประเทศน้อยมาก จึงประเมินศักยภาพของท่องเที่ยวไทยไม่ได้ลดน้อยลงกว่าเดิมเลย