“….จากคำพูดของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่กรุงฮานอยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท่านกำลังชี้ทางที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันสร้างสิ่งดีๆ ให้แก่สังคมโลก ด้วยการสร้างโลกสังคมนิยม ใช้สังคมนิยมจีนและเวียดนามเป็นหัวหอกเจาะเวลาไปสู้อนาคต บรรลุสู่อารยธรรมยุคใหม่ของมวลมนุษยชาติ การชี้ชวนอย่างเปิดเผย จึงมิใช่เรื่องภายในเฉพาะของสองประเทศเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของคนทั้งโลก เพียงแต่จีนกับเวียดนามมีความพร้อมมากกว่า เพราะยึดมั่นในลัทธิมาร์กซ์เหมือนกัน ปกครองประเทศด้วยระบอบสังคมนิยมเหมือนกัน คนจีนมีจุดยึดสำคัญประการหนึ่งคือ เมื่อพูดแล้วก็ต้องทำ เมื่อทำแล้วต้องเห็นผล คำพูดและการกระทำของทางการจีนตลอดมาก็เป็นไปตามหลักการนี้โดยตลอด จนกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของสีจิ้นผิงที่ว่า “เราจะยืนอยู่ฝ่ายถูกต้องของประวัติศาสตร์เสมอ” การเปิดประเทศและปฏิรูปตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน โดยปราศจากการรุกรานด้วยกำลังอาวุธเหมือนที่มหาอำนาจตะวันตกเคยทำในอดีต…”
โลกสังคมนิยมผงาด 社会主义世界崛起
อาจเร็วไปหน่อยสำหรับการผงาดขึ้นอีกครั้งหนึ่งของโลกสังคมนิยมที่มีจีนเป็นแกนนำ แต่จากคำพูดของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่กรุงฮานอยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็ชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่าท่านกำลังชี้ทางที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันสร้างสิ่งดีๆให้แก่สังคมโลก ด้วยการสร้างโลกสังคมนิยม ใช้สังคมนิยมจีนและเวียดนามเป็นหัวหอกเจาะเวลาไปสู้อนาคต บรรลุสู่อารยธรรมยุคใหม่ของมวลมนุษยชาติ
คำพูดเช่นนี้มีแต่ชาวคอมมิวนิสต์ด้วยกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้ แต่ท่านก็ไม่ปิดบัง และพูดออกมาอย่างเปิดเผยที่สื่อทางการของจีนเผยแพร่ไปทั่วโลก
ดังที่ผู้เขียนเคยเอ่ยถึงว่า คนจีนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะทางการจีน มีจุดยึดสำคัญประการหนึ่งคือ เมื่อพูดแล้วก็ต้องทำ(言必行)เมื่อทำแล้วต้องเห็นผล(行必果)คำพูดและการกระทำของทางการจีนตลอดมาก็เป็นไปตามหลักการนี้โดยตลอด จนกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่สร้างความไว้เนื้อเชื่อใจไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของสีจิ้นผิงที่ว่า “เราจะยืนอยู่ฝ่ายถูกต้องของประวัติศาสตร์เสมอ”(我们始终站在历史正确一边)
การฟื้นฟูโลกสังคมนิยมให้เจริญรุ่งเรืองก็เป็นการยืนอยู่บนความถูกต้องของประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เพราะจีนเองก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยแบบจีน ทำให้จีนผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็วดุจปาฏิหาริย์ ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกพากันสนใจศึกษาแบบอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำเร็จของจีนที่ได้มาด้วยการเปิดประเทศและปฏิรูปตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน โดยปราศจากการรุกรานด้วยกำลังอาวุธเหมือนที่มหาอำนาจตะวันตกเคยทำในอดีต
การพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างสันติ ได้กลายเป็นทางเลือกร่วมกันของประเทศต่างๆทั่วโลก ก็เพราะเห็นตัวอย่างความสำเร็จของจีน
จากนี้จึงพูดได้ว่า ขณะที่จีนได้สร้างความสำเร็จให้แก่ตนเองนั้น ก็ได้สร้างแบบอย่างที่ดีที่มีคุณูปการให้แก่สังคมโลกด้วย
โดยพฤตินัยก็คือ ปัจจุบันนี้จีนอยู่ในฐานะที่จะพาประเทศต่างๆเดินไปตามเส้นทางสายใหญ่(人间正道)บรรลุสู่อนาคตร่วมกัน ซึ่งก็คือพาเอาประเทศต่างๆมายืนอยู่บนความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ร่วมกับจีน
ด้วยเหตุนี้ การชี้ชวนอย่างเปิดเผยให้เวียดนามมาร่วมกับจีนฟื้นฟูความรุ่งเรืองให้แก่โลกสังคมนิยม จึงมิใช่เรื่องภายในเฉพาะของสองประเทศเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของคนทั้งโลก เพียงแต่จีนกับเวียดนามมีความพร้อมมากกว่า เพราะยึดมั่นในลัทธิมาร์กซ์เหมือนกัน ปกครองประเทศด้วยระบอบสังคมนิยมเหมือนกัน