“….คำพูดแต่ละครั้งของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ว่า “เรายืนอยู่ข้างความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เสมอ เท่ากับให้คำมั่นสัญญาว่า เมื่อใดที่จีนต้องตัดสินใจทำอะไร เหนือสิ่งอื่นใดก็คือจะยึดถือเอาความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เป็นที่ตั้งเสมอ อาทิ ที่จีนนำเสนอให้เร่งแก้ปัญหาเรื่องรัฐปาเลสไตน์ คืนความชอบธรรมให้แก่ชาวปาเลสไตน์ จึงตั้งอยู่บนความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ หากมิใช่ความจงใจที่จะเข้าข้างชาวอาหรับแต่ประการใด เพราะจีนก็เป็นมิตรที่ดีของอิสราเอลมาโดยตลอด อีกนัยหนึ่งจีนพร้อมที่จะร่วมกับประเทศต่างๆ ทั้งโลกสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่มวลมนุษยชาติ เกิดความเจริญรุ่งเรืองอย่างทั่วถึง โดยมีเป้าหมายสร้างประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน ตั้งแต่ข้อเสนอริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ข้อเสนอริเริ่มการพัฒนาร่วมกันทั้งโลก การสร้างความมั่นคงร่วมกันทํ้งโลก และการสร้างอารยธรรมร่วมกันทั้งโลก ซึ่งการมองการณ์ไกลแบบจีนที่ถือเอาความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เป็นที่ตั้งนั้น ได้ทำให้จีนกำหนดแนวนโยบายการพัฒนาประเทศและดำเนินนโยบายต่างประเทศได้อย่างถูกต้องเสมอ สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของชาวโลก ยังประโยชน์ต่อตนเองและโลกโดยรวมอย่างแท้จริง….”
ความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ 历史正确
นับเป็นจุดเด่นของคำพูดแต่ละครั้งของ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่ว่า “เรายืนอยู่ข้างความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เสมอ”(我们始终站在历史正确一边)ซึ่งแตกต่างอย่างยิ่งกับผู้นำประเทศอื่นๆ
การประกาศจุดยืนดังกล่าวเท่ากับให้คำมั่นสัญญาว่า เมื่อใดที่จีนต้องตัดสินใจทำอะไร เหนือสิ่งอื่นใดก็คือจะยึดถือเอาความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เป็นที่ตั้งเสมอ หากมิใช่สิ่งอื่นใด เช่น กรณีสงครามระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอล แม้ว่ามันจะเริ่มต้นจากการลอบโจมตีของกลุ่มฮามาสต่อพลเรือนอิสราเอล และมีหลายประเทศออกมาประณาม แต่จีนไม่ได้ประณาม กลับเสนอให้ทุกฝ่ายมาร่วมกันแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะการประณามไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ที่หมักหมมมานานหลายสิบปี โดยชาวปาเลสไตน์ตกอยู่ในสภาพลำบากจากการรุกยึดดินแดนอย่างไม่หยุดยั้งของอิสราเอล แต่จีนก็ประณามการเข่นฆ่าพลเรือนของทุกๆ ฝ่าย และชี้ให้เห็นว่าการรวมกลุ่มของชาวปาเลสไตน์ต่อต้านการรุกคืบของอิสราเอล เป็นผลจากเหตุที่อิสราเอลกระทำขึ้นมา จากนี้ในมุมมองทางประวัติศาสตร์ ความผิดจึงมิใช่อยู่ที่ฝ่ายชาวปาเลสไตน์ หากแต่อยู่ที่ฝ่ายอิสราเอล เนื่องจากปัญหาที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและไม่มีทางสิ้นสุดลง ก็เพราะอิสราเอลที่สหรัฐฯ และมหาอำนาจตะวันตกสนับสนุนไม่ยอมรับการดำรงอยู่ของรัฐปาเลสไตน์ พยายามกลืนกินดินแดนรัฐปาเลสไตน์ ไล่ต้อนชาวปาเลสไตน์ออกจากแผ่นดินถิ่นเกิดของตนเอง
ตรงกันข้ามกับมุมมองของประเทศตะวันตก ที่ถือเอาผลประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง ยินดีที่จะให้อิสราเอลเป็นใหญ่ครอบงำตะวันออกกลาง เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่ผลประโยชน์และอำนาจครอบงำของชาติตะวันตกในตะวันออกกลางมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ทางออกที่จีนนำเสนอที่ให้เร่งแก้ปัญหาเรื่องรัฐปาเลสไตน์ คืนความชอบธรรมให้แก่ชาวปาเลสไตน์ จึงตั้งอยู่บนความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ หากมิใช่ความจงใจที่จะเข้าข้างขาวอาหรับแต่ประการใด เพราะจีนก็เป็นมิตรที่ดีของอิสราเอลมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ชาวยิวจำนวนหนึ่งหนีพวกนาซีไปพึ่งพิงจีน ก็ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
อีกกรณีหนึ่งที่สะท้อนถึงจุดยืนจีนที่ยึดเอาความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เป็นที่ตั้ง ก็คือการอ้าแขนรับการมาถึงของยุคโลกาภิวัตน์ เปิดประเทศเชื่อมตัวเองเข้ากับตลาดโลก ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกไปสู่อนาคตร่วมกัน หรืออีกนัยหนึ่งจีนพร้อมที่จะร่วมกับประเทศต่างๆ ทั้งโลกสร้างประศาสตร์หน้าใหม่ให้แก่มวลมนุษยชาติ เกิดความเจริญรุ่งเรืองอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้นำเสนอข้อริเริ่มดีๆ ออกมาเป็นลำดับ ตั้งแต่ข้อเสนอริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ข้อเสนอริเริ่มการพัฒนาร่วมกันทั้งโลก การสร้างความมั่นคงร่วมกันทั้งโลก และการสร้างอารยธรรมร่วมกันทั้งโลก เป็นต้น โดยมีเป้าหมายสร้างประชาคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน
จะเห็นได้ว่า แต่ละเรื่องที่กำลังดำเนินไป จีนจะชูเอาความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เป็นตัวตั้ง ซึ่งบนนั้นจีนก็จะเร่งปรับปฏิรูปตัวเองโดยไม่รอช้า ผลจึงมักจะปรากฏตามมาว่า ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของประวัติศาสตร์ยุคใหม่นี้ จีนสามารถดูดซับประโยชน์และสิ่งดีๆ ใหม่ๆ ได้รวดเร็วกว่าใครอื่น เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า การสื่อสาร 5-6G พลังงานสะอาด ตลอดจนรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ล้วนได้เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่จีนเป็นอย่างมาก
จากนี้พอจะเห็นได้ว่า การมองการณ์ไกลแบบจีนที่ถือเอาความถูกต้องทางประวัติศาสตร์เป็นที่ตั้งนั้น ได้ทำให้จีนกำหนดแนวนโยบายการพัฒนาประเทศและดำเนินนโยบายต่างประเทศได้อย่างถูกต้องเสมอ สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของชาวโลก ยังประโยชน์ต่อตนเองและโลกโดยรวมอย่างแท้จริง