“…ประชาชนคนไทยยังคงต้อง “หาวเรอ” รอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาล“เศรษฐา ทวีสิน”ประกาศไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งหาเสียงยังไม่รู้จะต้องรอกันข้ามปี หรือข้ามภพข้ามชาติแบบค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในอดีตกันหรือไม่ เมื่อหันไปที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หลังตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวมของปี 66 ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่กำลังดำดิ่งจน “กู่ไม่กลับ” แต่ธปท.ก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะดำเนินนโยบายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลอยู่ดี อีกทั้งให้นึกย้อนไปถึง “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ “หรือ “กสทช.”ก่อนหน้านี้ที่ไปไฟเขียว “ดีลควบรวม” ธุรกิจระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทคโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงหรือทัดทานจากใครหน้าไหน จนภาวการณ์แข่งขันรุนแรงลดน้อยลง ทำให้ราคาหุ้นทรูกลับมาทำราคาสูงสุดในรอบปี ที่ 8.20 บาท ก่อนจะทำราคาย่อตัวลงที่ 7.90 บาท พบว่าค่าบริการรายเดือนปรับตัวเพิ่มขึ้นและบางโปรโมชันยังถูกลดนาทีค่าโทรลง นอกจากนี้ยังพบว่าปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตช้า รองลงมาเป็นปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตหลุดบ่อย…”
จนถึงวันนี้ที่ผ่านมากว่า 6 เดือนของรัฐบาลเข้าไปแล้ว ประชาชนคนไทยยังคงต้อง “หาวเรอ” รอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ประกาศไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งหาเสียง จะแจกเงินคนละ 10,000 บาท ผ่านกระเป๋าตัง “ดิจิทัล วอลเล็ต” ในทันทีที่ได้เป็นรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการใช้จ่าย
แต่ผ่านมาจนวันนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะดีเดย์เมื่อใด ยังไม่รู้จะต้องรอกันข้ามปี หรือข้ามภพข้ามชาติแบบค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในอดีตกันหรือไม่ หลังเส้นทางการยกร่างพระราชบัญญัติ(พรบ.) เงินกู้ 500,000 ล้าน เพื่อดำเนินนโยบาย “ดิจิทัล วอลเลต” ทำท่าจะถูก “ปิดประตูลั่นดาน” ไปแล้วเวลานี้
เพราะหลังจากกระทรวงการคลังหารือแนวทางไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเพียง “คู่มือ” ทำคลอดกฏหมายกู้เงินที่ต้องมีองค์ประกอบและเงื่อนไขอย่างไร ต้องเกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจถึงขั้นไหนจึงจะเข้าเงื่อนไขเท่านั้น ไม่ได้มีคำแนะนำใด ๆ ให้
แถมยังสำทับด้วยรายงานข้อเสนอแนะในการป้องการการทุจริตของคณะกรรมการป.ป.ช.ที่มีต่อนโยบาย ”ดิจิทัล วอลเล็ต” ที่ว่านี้ ที่เห็นว่าการตรา พรบ.เงินกู้ 5 แสนล้านเพื่อดำเนินนโยบาย “ดิจิทัล วอลเล็ต” ได้ไม่คุ้มเสีย สุ่มเสี่ยงเต็มไปด้วยช่องว่างที่อาจก่อให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ และยังมองไม่เห็นเศรษฐกิจวิกฤตถึงขั้นที่ต้องออก พรบ.หรือพรก.เงินกู้ในเวลานี้ อันเป็นการส่งสัญญาน “หักดิบ” ที่หากรัฐจะ“ดั้นเมฆ” ดำเนินการต่อไป ก็ต้องพร้อมขึ้นเขียงรับผิดชอบในความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
เรียกได้ว่าแทบจะ “ปิดประตูลั่นดาน” หนทางออกพรบ.เงินกู้ที่ว่านี้กันเลยทีเดียว!
เมื่อหันไปอ้อนวอนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หัวหอกในการคัดค้านนโยบายแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งนี้ เพื่อสะท้อนความเดือดร้อนของภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมและประชาชนที่กำลังหืดจับหายใจไม่ทั่วท้องกันถ้วนหน้า จากปัจจัยหลายๆประการ โดยเฉพาะงบประมาณรายจ่ายของรัฐที่ล่าช้าไปจาก “ไทม์ไลน์” ปกติถึง 7-8 เดือน
แถมในช่วงที่ผ่านมายังเผชิญกับแรงกดดันจากการดำเนินนโยบายการเงินและดอกเบี้ยนโยบายของธปท.ที่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปถึง 8 ครั้งในระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี ดันอัตราดอกเบี้ยนโยบายทะยานจาก 0.5% เมื่อกลางปี 2564 ขึ้นมาเป็น 2.5% ในปัจจุบัน ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินพาเหรดปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ตามมาเป็นพรวน ฉุดรั้งการลงทุนและเศรษฐกิจไปโดยปริยาย
แม้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะร่วมออกโรง เรียกร้องให้ ธปท.ได้พิจารณาทบทวนนโยบายการตรึงดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นอยู่ หลังตัวเลขอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวมของปี 66 ออกมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ สะท้อนให้เห็นถึงภาวะเศรษฐกิจที่กำลังดำดิ่งจน “กู่ไม่กลับ” แต่ธปท.ก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะดำเนินนโยบายให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลอยู่ดี
เห็นจุดยืนอันแข็งกร้าวของ ธปท.ข้างต้น ก็ให้นึกย้อนไปถึง “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ“ หรือ “กสทช.” ก่อนหน้านี้ที่ไปไฟเขียว “ดีลควบรวม” ธุรกิจระหว่างบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)และบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทคโดยไม่ฟังเสียงทักท้วงหรือทัดทานจากใครหน้าไหน
แม้แต่คณะอนุกรรมการชุดต่างๆ ที่ กสทช.ตั้งมาเองกับมือ หรือความเห็นของอนุกรรมการที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่กอปรด้วยผู้ทรงวุฒิด้านกฎหมายระดับบรมครูของประเทศ ที่ต่างเห็นว่าดีลควบรวมธุรกิจดังกล่าวจะส่งผลต่อจำนวนผู้ให้บริการสื่อสารในตลาดลดลง จนส่งผลต่อสภาพการแข่งขันในตลาด มีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้บริโภคผู้ใช้บริการถูก “มัดมือชก” โขกค่าบริการเอาได้ทุกเมื่อ
แต่ก็เจอลูกเล่นสุดพิสดารของ กสทช.ที่ “อุ้มสม” ดีลควบรวมกิจการสื่อสารครั้งประวัติศาสตร์นี้แบบ “ไม่สนโลก” อ้างว่าตนเองไม่มีอำนาจที่จะอนุมัติ-หรือไม่อนุมัติ ทำได้แค่ “รับทราบ”และรับเบอร์แสตมป์ดีลควบรวมดังกล่าว และนำมาตรการเฉพาะเพื่อบรรเทาผลกระทบมาบังคับใช้ก่อนและหลังการควบรวมเท่านั้น
ขวบปีของดีลควบรวมครั้งประวัติศาสตร์ที่ว่า ส่งผลให้ตลาดโทรคมนาคมไทยตีปีกพรึ่บพั่บ ยังประโยชน์ให้แก่ประชาชนผู้ใช้บริการให้ได้รับบริการและคุณภาพบริการที่ดีขึ้นหรือไม่อย่างไรนั้น เอาเป็นว่าปกติหากยังความสำเร็จได้ตามเป้าหมายจริง ป่านนี้ กสทช.คงตั้งโต๊ะแถลงผลงาน “ชิ้นโบแดง”ที่ว่านั้นกระหึ่มเมืองไปแล้วกระมัง
ตรงกันข้าม วันนี้ผลพวงจากดีลควบรวมดังกล่าวสะท้อนออกมาให้เห็นจากรายงานและถ้อยแถลงของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติ(สศช.) ด้านสังคมล่าสุด ที่ดำเนินการสำรวจผลกระทบของผู้บริโภคหลังการควบรวมกิจการโทรคมนาคมจากข้อร้องเรียนที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ซึ่งพบว่า ภายหลังการควบรวมกิจการค่าบริการรายเดือนของโทรศัพท์มือถือปรับตัวเพิ่มขึ้นและบางโปรโมชันยังถูกลดนาทีค่าโทรลง เช่น แพ็กเกจราคา 349 บาท ปรับราคาขึ้นเป็น 399 บาท ทั้งยังมีการลดปริมาณและความเร็วอินเทอร์เน็ตลง , แพ็กเกจราคา 499 และ 599 บาท ถูกลดนาทีค่าโทรลงจาก 300 นาที เหลือ 250 นาที อีกทั้งผู้บริโภคยังเริ่มประสบปัญหาด้านคุณภาพสัญญาณมากขึ้น
นอกจากนี้ผลสำรวจความคิดเห็นผู้ใช้บริการทุกเครือข่ายมือถือทั่วประเทศผ่านระบบออนไลน์ของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ยังพบด้วยว่า กลุ่มตัวอย่าง 81% พบปัญหาการใช้งานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาโดยเครือข่ายของบริษัทที่มีการควบรวมพบมากที่สุด คือ ปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตช้า รองลงมาเป็นปัญหาสัญญาณอินเทอร์เน็ตหลุดบ่อย เป็นต้น โดย 91% ของผู้ได้รับผลกระทบเคยร้องเรียนไปยัง Call center ของเครือข่ายที่ใช้บริการแล้วแต่ก็ยังพบปัญหาอยู่เช่นเดิม
แม้สำนักงาน กสทช.จะมีการกำหนดเงื่อนไขในการควบรวม เช่น การลดอัตราค่าบริการเฉลี่ยลง 12% เพื่อควบคุมราคาค่าบริการ แต่จากสถานการณ์ข้างต้น เห็นได้ชัดว่า มาตรการดังกล่าวยังไม่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้เท่าที่ควร เหตุนี้ สศช.จึงมีข้อเสนอแนะมายัง กสทช. ในฐานะหน่วยงานหลักที่ทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิของประชาชนไม่ให้ถูกเอาเปรียบจากผู้ประกอบกิจการด้านโทรคมนาคม จึงควรมีการทบทวน/เพิ่มเติมแนวทางการกำกับดูแลที่ชัดเจนและเข้มข้นมากขึ้น อาทิ การกำหนดเพดาน/ควบคุมราคาของอัตราค่าบริการเฉลี่ยให้เหมาะสม ตลอดจนมีมาตรการส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่อย่างจริงจัง
เช่นเดียวกับโบรกเกอร์ต่างชาติยังปรับคำแนะนำนักลงทุนให้ลงทุนในหุ้นทรู จากเดิมขายพลิกมาซื้อหลังเห็นสัญญาณธุรกิจโทรคมนาคมดีขึ้นจากการควบรวมกิจการ จนภาวการณ์แข่งขันรุนแรงลดน้อยลง ทำให้ราคาหุ้นทรูกลับมาทำราคาสูงสุดในรอบปี ที่ 8.20 บาท ก่อนจะทำราคาย่อตัวลงที่ 7.90 บาท
เป็นรายการ “ตบหน้า”หน่วยงานกำกับดูแลกิจการสื่อสารโทรคมนาคมที่ไม่ต่างจากกรณีที่ สศช.จัดทำรายงานเสนอแนะธปท.ให้พิจารณาทบทวนแนวนโยบายการตรึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายก่อนหน้า ก่อนจะนำมาซึ่งการที่รัฐบาลต้องลุยไฟนโยบายเพิ่ม “ไลเซ่นส์แบงก์” ในลักษณะที่เป็น Virtual Bank ในที่สุด
แต่กรณีตลาดสื่อสารโทรคมนาคมและกสทช.นั้น ประชาชนคนไทยผู้บริโภคคงไม่ได้คาดหวังให้ กสทช.ได้ “ไถ่บาป” ทบทวนและเพิ่มใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมแก่ผู้ให้บริการมือถือรายใหม่ แบบที่กระทรวงการคลังและรัฐบาลดำเนินการไปในกรณีของการเพิ่ม “ไลเซ่นส์” แบงก์พาณิชย์ ด้วยการเพิ่มใบอนุญาตธนาคารไร้สาขาหรือ Virtual Bank ขึ้น
ขอแค่ให้ กสทช.และสำนักงานฯ ดำเนินการ Enforce มาตรการกำกับดูแลดีลควบรวมกิจการที่ตนเองทำคลอดออกมาก่อนหน้าให้เห็นเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังก็พอ เพราะที่ขอแค่นี้ ก็ไม่รู้จะต้องหาวเรอรอไป พ.ศ.ไหนกันแล้ว !!!