“….หลินอี้ฟู ประสบความสำเร็จทางด้านการงานเป็นอย่างมาก ทั้งในประเทศและระดับโลก ขณะที่ตำแหน่งการงานในองค์การระหว่างประเทศก็ได้เป็นถึงรองประธานธนาคารโลก เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำที่ทั่วโลกยอมรับ ในการประชุม “ป๋ออ๋าวฟอรั่มเพื่อเอเชีย” ที่มณฑลไห่หนานของจีน เขาได้แสดงทัศนะสำคัญๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนและโลกอย่างน่าสนใจ ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะแซงสหรัฐฯ ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างแน่นอนภายในปี 2030 พลังการผลิตโดยรวมของจีนเจริญเติบโตต่อเนื่อง ไต่อันดับโลกขึ้นมาจนขึ้นสู่ระดับสองและกำลังจะก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 โดยสังคมจีนจะก้าวเข้าสู่ขั้นของความเป็นประเทศที่มีรายได้สูงอย่างแท้จริง คือคนจีนจะมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยปีละ 14000 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐขึ้นไป เขาย้ำว่ากระบวนการนวัตกรรมคือหัวใจ ไปสู่อนาคตด้วยการสร้างพลังการผลิตคุณภาพใหม่ และจีนจะกลายเป็นหัวเรือใหญ่นำร่อง อารยธรรมใหม่ของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง…”
ทฤษฎีหลินอี้ฟู 林毅夫理论
หลินอี้ฟู ชื่อนี้เคยดังกระฉ่อนในปี 1979 เมื่อนายทหารหนุ่มคนหนึ่งเสี่ยงชีวิตว่ายน้ำข้ามทะเลจากฝั่งเกาะจินเหมินไปขึ้นฝั่งที่เมืองเซี่ยเหมิน
เกาะจินเหมินเป็นเกาะเล็กๆ ใต้การปกครองของรัฐบาลไต้หวัน ส่วนเซี่ยเหมินเป็นเมืองชายฝั่งของจีน
เมื่อ หลินอี้ฟู ขึ้นฝั่งได้แล้ว ก็แสดงเจตนารมณ์ที่จะใช้ชีวิตบนผืนแผ่นดินใหญ่ ร่วมสร้างประเทศจีนให้เจริญรุ่งเรือง
ความฝันของเขาปรากฏเป็นจริง เมื่อจบปริญญาโทที่จีนแล้วเขาได้ไปทำปริญญาเอกที่สหรัฐฯ เป็นดอกเตอร์ทางด้านเศรษฐศาสตร์กลับมาประเทศจีน ซึ่งเป็นช่วงที่จีนกำลังประสบภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรงในปลายทศวรรษ 1980
หลินอี้ฟู ที่หมายมั่นปั้นมือจะใช้ความรู้ทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่เรียนมากลับพบว่า ถ้าใช้วิธีการแก้ปัญหาตามทฤษฎีที่เรียนมา จีนพังแน่ วุ่นวายแน่ เพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีนแตกต่างจากประเทศตะวันตก
จากนั้นเขาจึงเริ่มศึกษาเรียนรู้เศรษฐกิจจีนดุจเด็กทารกมองโลก ไม่มีความคิดที่จะใช้ทฤษฎีสำเร็จรูปจากตะวันตกอีกต่อไป
การเริ่มจากความเป็นจริง คือฐานทฤษฎีของเขา
หลินอี้ฟู ประสบความสำเร็จทางด้านการงานเป็นอย่างมาก ทั้งในประเทศและระดับโลก เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของจีน สามารถเขียนสรุปออกมาเป็นทฤษฎีเฉพาะตนเป็นชุดๆ โดยเฉพาะความมหัศจรรย์ของการพัฒนาประเทศจีน ได้รับการยอมรับจากคณะผู้นำจีนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ตำแหน่งการงานในองค์การระหว่างประเทศก็ได้เป็นถึงรองประธานธนาคารโลก เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำที่ทั่วโลกยอมรับ
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ในการประชุม “ป๋ออ๋าวฟอรั่มเพื่อเอเชีย” ที่มณฑลไห่หนานของจีน เขาได้แสดงทัศนะสำคัญๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนและโลกอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจีนจะแซงสหรัฐฯขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของโลกอย่างแน่นอนภายในปี 2030
จากการติดตามและอยู่ในท่ามกลางการพัฒนาของจีนอย่างต่อเนื่องกว่า 40 ปี ทำให้เขาเข้าถึงกระบวนการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจจีนชนิด “ทำกับมือ”
เขาบอกว่าการที่จีนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องในอัตราสูงถึงปีละ 8.9% ตลอดระยะเวลาร่วมสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ก็ด้วยการนวัตกรรมและการยกระดับมาตรฐานการผลิตอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้พลังการผลิตโดยรวมของจีนเจริญเติบโตต่อเนื่อง ขนาดเศรษฐกิจจีนใหญ่โต ไต่อันดับโลกขึ้นมาจนขึ้นสู่ระดับสองและกำลังจะก้าวขึ้นสู่อันดับหนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้
เขาบอกว่า ความจริงแล้ว ตั้งแต่จีนดำเนินนโยบายเปิดประเทศในปี 1978 ก็เป็นช่วงที่ประเทศต่างๆ พากันปรับแผนพัฒนาประเทศไปในทางเปิดกว้างเช่นเดียวกัน แต่ที่จีนทำได้ดีกว่าก็เพราะการทุ่มกำลังและทรัพยากรไปในการพัฒนานวัตกรรม สร้างบุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและวิศวกรรมสาขาต่างๆ อย่างรอบด้าน เพื่อรองรับขับเคลื่อนเทคโนโลยีการผลิตทันสมัยของโลกที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้จีนวันนี้ จึงเกิดความพร้อมสูงสำหรับการยกระดับพลังการผลิตขึ้นสู่ระดับใหม่ด้วยคุณภาพใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกยุคทุกสมัยของมวลมนุษยชาติ
เขาชี้ว่า ความพร้อมของจีนจะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ ในห้วงที่โลกกำลังขับเคลื่อนตัวเองเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 โดยสังคมจีนจะก้าวเข้าสู่ขั้นของความเป็นประเทศที่มีรายได้สูงอย่างแท้จริง คือคนจีนจะมีรายได้ต่อหัวเฉลี่ยปีละ14000 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐขึ้นไป
เมื่อสรุปภาพรวมของการพัฒนาประเทศของจีน เขาย้ำว่า กระบวนการนวัตกรรมคือหัวใจ ในอดีตจีนนวัตกรรมด้วยการนำเข้าเทคโนโลยีแล้วศึกษาต่อยอด แต่ปัจจุบันจีนได้ทำการนวัตกรรมที่ทุกอย่างเริ่มจากศูนย์ ทำในสิ่งที่คนเรายังไม่เคยทำ ด้วยเหตุนี้การนำเสนอแนวทางการพัฒนาประเทศจีนไปสู่อนาคตด้วยการสร้างพลังการผลิตคุณภาพใหม่ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญยิ่งที่จะนำจีนบรรลุสู่จุดหมายปลายทางของการสร้างจีนให้เจริญรุ่งเรืองรอบด้านภายในกลางศตวรรษนี้
และจีนจะกลายเป็นหัวเรือใหญ่นำร่อง อารยธรรมใหม่ของมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง