ความทุกข์ยากแสนเข็นของคนจีนในอดีต กับการพลิกฟื้นเศรษฐกิจครั้งสำคัญในยุค เติ้ง เสี่ยวผิง ทำให้คนจีนรักพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างไม่มีข้อสงสัย เติ้ง เสี่ยวผิง สร้างจีนใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน กล้าตัดสินใจฉับพลันทันที ปกป้องประเทศชาติจนรอดพ้นภัยแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรม สามารถนำนโยบาย ๔ ทันสมัยและปฏิรูป-เปิดประเทศมาใช้ได้สำเร็จ
เมื่อ เติ้ง เสี่ยวผิง ถึงแก่อสัญกรรม เจียง เจ๋อหมิน ก็ขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด มาถึงยุค “หู จิ่นเทา” บริหารประเทศตามแนวทางของเติ้ง เสี่ยวผิงและเจียง เจ๋อหมิน สร้างความเจริญทางเศรษฐกิจรุ่งเรืองตามลำดับ
ในขณะดำรงตำแหน่ง หู จิ่นเทา ก็มองหาคนรุ่นใหม่มาแทนที่ตัวเอง และพบกับเลือดเนื้อเชื้อไขของแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์รุ่นแรกนามว่า “สี จิ้นผิง” ด้วยผลงานมากมายของหนุ่มคนนี้ ทำให้ หู จิ่นเทา เชื่อมั่นว่าสีจะนำพาจีนไปสู่ความรุ่งเรืองอย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมข้อตกลงของแกนนำพรรคคอมมิวนิสต์ลงมติสนับสนุนให้ สี จิ้นผิง เป็นผู้นำสูงสุดของจีน อย่างไม่มีกำหนดระยะเวลา เพื่อให้ปฏิบัติภารกิจสร้างชาติจีนเทียบเท่าสหรัฐอเมริกา
เมื่อ สี จิ้นผิง ก้าวขึ้นเป็นผู้นำ ก็สามารถพัฒนาจีนให้เจริญก้าวหน้าราว “ปาฏิหาริย์” ขจัดความยากจนเป็นศูนย์ โดยสี จิ้นผิงประกาศในระหว่างการประชุมครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นในกรุงปักกิ่งเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2564 ว่า จีนได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ในการต่อสู้กับความยากจน ความยากจนได้ถูกกำจัดไปแล้วในประเทศจีนที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
ปธน.สีกล่าวถึงความสำเร็จของจีนในการบรรเทาความยากจน และยกย่องผู้ที่ต่อสู้กับความยากจนที่เป็นแบบอย่างของจีน ตลอดช่วง 8 ปี ชาวชนบทที่ยากจน 98.99 ล้านรายซึ่งอยู่ภายใต้เส้นความยากจนได้หลุดพ้นจากความยากจนแล้วทั้งหมด
ขณะที่มณฑลที่ยากจน 832 แห่ง และหมู่บ้านยากจน 128,000 แห่งก็ได้หลุดพ้นจากความยากจนแล้ว นับตั้งแต่จีนเริ่มการปฏิรูปและการเปิดประเทศในช่วงปลายทศวรรษ 1970
ผู้อยู่อาศัยในชนบทที่ยากไร้ 770 ล้านรายได้หลุดพ้นจากความยากจน เมื่อคำนวณตามเส้นความยากจนในปัจจุบันของจีน
จากความสำเร็จดังกล่าว สี จิ้นผิง ได้สร้าง “ปาฏิหาริย์” ที่ถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ เนื่องจากความยากจนเป็นปัญหาเรื้อรังของจีนมานานหลายพันปี ทว่าหลังจากดิ้นรนมาหลายชั่วอายุคน จีนได้นำพาประชาชนหลุดพ้นจากความยากจนถึง 700 ล้านคน เมื่อนับตั้งแต่ปี 1949
ย้อนกลับไปในปี 2012 จีนยังมีประชาชนเกือบ 100 ล้านคน อาศัยอยู่ใต้เส้นแบ่งความยากจน คิดเป็น 1 ใน 9 ของกลุ่มประชากรฐานะยากจนทั้งหมดบนโลก เวลานั้นหมู่บ้านของจีน 100,000 แห่ง ยังไม่มีถนนลาดยางเชื่อมถึง หมู่บ้านรว 4,000 แห่งไม่มีไฟฟ้าใช้ เกษตรกรหลายล้านคนมีสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่
ในเดือนพฤศจิกายน 2012 สี จิ้นผิง ก้าวขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดของจีน เขาสานต่อภารกิจที่จีนพยายามบรรลุมาเนิ่นนานหลายชั่วอายุคน ด้วยการประกาศเจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ว่า “เราจะต้องบรรลุภารกิจการขจัดความยากจนขั้นสูงสุด”
ข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า จำนวนชาวจีนฐานะยากจนทั้งหมด ลดลงเกือบ 680 ล้านคนในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา พรรคคอมมิวนิสต์จีนให้คำมั่นสัญญาจะยุติปัญหาความยากจนภายในปี 2020 ขณะนั้นเหลือเวลาเพียง 8 ปีที่สีจะทำให้คำมั่นสัญญาขจัดความยากจนเป็นจริง นับเป็นโครงการที่แทบมองไม่เป็นความเป็นไปได้ เพราะจีนต้องช่วยประชาชนหลุดพ้นความยากจนให้ได้ปีละ 10 ล้านคน นั่นหมายถึงนาทีละ 20 คน หลายคนมองว่า “เป็นภารกิจที่ไม่มีทางสำเร็จ”
ท่ามกลางความกดดัน สีกลับมุ่งมั่นตั้งใจ มิเคยตั้งข้อสงสัยต่อพันธกิจอันยากเย็นนี้ เขารู้ดีว่าความหิวโหยนั้นเป็นอย่างไร สมัยก่อนตอนเขายังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นที่ถูกส่งตัวไปยังหมู่บ้านเหลียงเจียเหอในฐานะเกษตรกร เขาอาศัยอยู่ในบ้านถ้ำเหมือนชาวบ้านคนอื่นๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ขึ้นโต๊ะอาหารนานหลายเดือน ตอนนั้นเขาหวังว่า อยากเลี้ยงเนื้อสัตว์ให้เพื่อนร่วมหมู่บ้านรับประทานสักครั้ง
สีไต่เต้าจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นชั้นผู้น้อย สู่ตำแหน่งผู้นำสูงสุดของจีน เขายังคงยึดมั่นความปรารถนาที่ตั้งไว้เสมอมา การรับรองว่าคนยากจนในชนบทจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เป็นแรงกระตุ้นสีมาตลอด เพื่อสร้างสังคมมั่งคั่งในทุกด้าน บนหนทางสู่ความสำเร็จร่วมกัน ไม่ควรมีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
สีรู้ว่าการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ต่างๆ อย่างรอบคอบ ทางการจำเป็นต้องเข้าใจเงื่อนไขที่แท้จริง จึงมีการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เพื่อรวบรวมฐานข้อมูลของผู้ด้อยโอกาสทั้งหมด ในเวลา 18 เดือน จีนขึ้นทะเบียนประชากรยากจนทั่วประเทศสำเร็จ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการรวบรวมฐานข้อมูลความยากจนที่ครอบคลุมเช่นนี้
จนกระทั่งต้นปี 2020 เกิดการระบาดของไวรัสโควิด19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งในจีนและทั่วโลก อันโตนิโอ กูแตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุว่า ความยากจนในโลกเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ผู้นำบางคนแสดงความเห็นต่อการระบาดของไวรัสว่า ถือเป็นเรื่องเข้าใจได้หากจีนจะเลื่อนเป้าหมายขจัดความยากจนออกไป
ขณะที่คนส่วนใหญ่คาดว่าเป้าหมายของจีนที่จะนำพาประชาชนหลุดพ้นจากความยากจนภายในปี 2020 อาจไม่สำเร็จตามที่ตั้งไว้ สีกลับเลือกเส้นทางที่ยากยิ่งกว่า ในเดือนมีนาคม 2020 เขาเป็นประธานการประชุมสัมมนาพิเศษที่มีเจ้าหน้าที่รัฐตั้งแต่ระดับฝ่ายปกครองท้องถิ่นจนถึงคณะผู้นำประเทศ
การประชุมดังกล่าวว่า เดิมทีกำหนดจัดขึ้นช่วงกลางมีนาคม แต่สีกล่าวว่าควรจัดเร็วขึ้นหนึ่งสัปดาห์ มิเช่นนั้นจะไม่มีเวลาดำเนินการเพียงพอ เพราะมีเวลาเหลือแค่ 300 วัน เพื่อการสั่งการและระดมกำลังทำงานอีกรอบ
แม้รายได้ทางการเงินของจีนจะลดลงในปี 2020 แต่แทนที่สีจะลดการลงทุน กลับจัดงบประมาณพิเศษเพื่อการบรรเทาความยากจน มูลค่าสูงถึง 1.46 แสนล้านหยวน (ราว 6.79 แสนล้านบาท) ทั้งยังมีงบประมาณเพิ่มเติมอีกครั้ง มูลค่า 3 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.39 แสนล้านบาท) สีเชื่อว่าการระดมทุนคือหลักประกันการบรรเทาความยากจน
การตัดสินใจของสี จิ้นผิง กระตุ้นการดำเนินงานอีกครั้ง รวมถึงการมีส่วนร่วมของผู้คนทั้งสังคม นับเป็นอีกครั้งที่คนยากจนนับล้านรับรู้ว่า จะไม่ถูกทอดทิ้ง และมองเห็นแสงสว่างแห่งความหวัง
ตลอดระยะเวลา 8 ปี ประชาชนมากกว่า 9.6 ล้านคน ที่ทุกข์ทนอยู่กับความยากจน ได้โยกย้ายออกจากพื้นที่ทุรกันดาร ชาวชนบทที่ยากจนไม่ต้องกังวลกับความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยอีกต่อไป หมู่บ้านทุกแห่งในจีนมีถนนลาดยางเข้าถึง มีคลินิกและแพทย์ชนบทอยู่ทั่ว ทุกครัวเรือนมีไฟฟ้าใช้ มีเครื่องใช้ไฟฟ้าสมัยใหม่ใช้งาน ไม่ได้เป็นของหรูหราไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป อินเตอร์เน็ตเข้าถึงภูมิภาคด้อยพัฒนา ร้อยละ 98 ของชาวชนบทได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอก มีชีวิตใหม่ที่สดใส โรงเรียนพื้นที่ห่างไกลมากกว่า 100,000 แห่ง ถูกปรับปรุงหรือรื้อสร้างใหม่ ช่วยให้เด็กชนบทหลายหมื่นคนมีโอกาสเลือกอนาคตของตัวเอง
บนวิถีทางสู่ความยากจนเป็นศูนย์ สีวางแผนและทำการตัดสินใจมากมาย เพื่อเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของชาวจีนหลายล้านครอบครัว แม้วิถีทางดังกล่าวเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม แต่สียังคงยึดมั่นอุดมการณ์เดิมไม่เปลี่ยนแปลง ตามเป้าหมาย “ชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของประชาชน คือเป้าหมายที่เรามุ่งมั่นทำให้สำเร็จ”
จีนได้ขจัดปัญหาความยากจนที่เรื้อรังมานานหลายพันปี แต่นี่ถือเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสู่การสร้างปาฏิหาริย์อื่นๆอีกมากมาย เพื่อก้าวไปสู่อนาคตที่สดใสยิ่งกว่าเดิม
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมคนจีนจึงรัก “สี จิ้นผิง”