“…ศาลได้มีคำสั่ง “ยกคำร้อง” เพราะเห็นว่าพฤติกรรมไม่ได้เป็นไปตามคำร้อง โดยศาลเห็นว่าหากศาลมีคำสั่งให้ยุติการปฎิบัติหน้าที่จนกว่าคดีจะถึงที่สุด ย่อมทำให้งานสร้างสรรค์สื่อที่มีคุณภาพรวมถึงงานด้านการกำกับกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ที่มีเรื่องต้องตัดสินใจและขับเคลื่อนเรื่องสำคัญสำคัญที่เป็นประโยชน์อาจจะชงักงันเอาได้ ศาลจึงยกคำร้องที่บริษัทขอให้ กสทช.พิรงรองระงับการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา โดยยังคงให้ กสทช.ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่ามีความพยายามที่จะไม่ให้ กสทช.พิรงรอง เข้าร่วมพิจารณาในวาระที่ต้องมีการพิจารณากรณีมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับบริษัททรูดิจิทัลฯ รวมไปถึงกลุ่มบริษัททรูด้วย ด้วยข้ออ้างเป็นคู่ขัดแย้ง ซึ่งหากศาลอาญามีคำพิพากษาให้ กสทช.พิรงรอง ยุติการปฏิบัติหน้าที่ตามคำฟ้องของบริษัท ไม่เพียงจะกระทบต่องานต่าง ๆ ที่ กสทช.อยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษา ยังจะส่งผลกระทบไปถึงการปฏิบัติหน้าที่ของบอร์ด กสทช.เสียงส่วนมากที่คาดว่า อาจจะถูกบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายอื่นๆ เลียนแบบคือหาทางฟ้องปิดปากในลักษณะเดียวกันตามมา”…”
“ทรูดิจิทัล” แห้วฟ้องปิดปาก กสทช. “พิรงรอง”
ศาลยกคำร้องหวั่นกระทบองค์กรกำกับดูแล-พัฒนากิจการสื่อ-ทีวีดิจิทัล
ศาลอาญาคดีทุจริตสั่งยกคำร้องทรูดิจิทัลกรุ๊ปฟ้องปิดปาก กสทช. หวังระงับปฏิบัติหน้าที่ร่วมชี้ขาดคดีพิพาทที่เกี่ยวเนื่อง ชี้ชัดถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามขอบเขตแห่งอำนาจหน้าที่ หวั่นสั่งยุติปฏิบัติหน้าที่กระทบเส้นทางการพัฒนาสื่อ-ทีวีดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งระบบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้นัดฟังคำสั่งคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ คดี 147/2566 ตามที่บริษัท ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด กล่าวหาว่า ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร. พิรงรอง รามสูต ในฐานะกรรมการ กสทช. และคณะอนุกรรมการด้านกิจการโทรทัศน์ ดำเนินการให้สำนักงาน ฯ ออกหนังสือแจ้งไปยังผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์และวิทยุ 127 แห่งให้ตรวจสอบการแพร่เสียงแพร่ภาพผ่านการให้บริการกล่องรับสัญญาณโทรทัศน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Internet TV Box) และแอปพลิเคชัน True ID เนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากผู้ใช้บริการ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดว่า โจทก์กระทำผิดกฎหมาย จนอาจถูกระงับเนื้อหารายการที่ส่งไปออกอากาศ และโจทก์เห็นว่าการกระทำดังกล่าว มีพฤติการณ์ หรือเหตุที่มีสภาพร้ายแรงที่แสดงถึงความมีอคติ และความไม่เป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่
อย่างไรก็ตาม ศาลได้มีคำสั่ง “ยกคำร้อง” เพราะเห็นว่าพฤติกรรมไม่ได้เป็นไปตามคำร้อง โดยศาลเห็นว่า หากศาลมีคำสั่งให้ยุติการปฎิบัติหน้าที่จนกว่าคดีจะถึงที่สุด ย่อมทำให้งานสร้างสรรค์สื่อที่มีคุณภาพรวมถึงงานด้านการกำกับกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ที่มีเรื่องต้องตัดสินใจและขับเคลื่อนเรื่องสำคัญๆที่เป็นประโยชน์อาจชะงักงัน
คำสั่งของศาลอาญาคดีทุจริตฯ ข้างต้นถือเป็นโอกาสดีที่กรรมการ กสทช. ยังคงได้ขับเคลื่อนภารกิจสำคัญโดยเฉพาะงานด้านโทรทัศน์ และการพัฒนาสื่อคุณภาพให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีต่อไป โดยงานสำคัญที่อยู่ภายใต้การดูแลของ กสทช.พิรงรอง ประกอบด้วย
1.การจัดทำ (ร่าง) ประกาศ กสทช. เรื่องหลักเกณฑ์การสนับสนุนการผลิตรายการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม รวมถึงการส่งเสริมการผลิตคอนเทนต์พิเศษสำหรับเด็ก คนดูทุกกลุ่ม และผลิตคอนเทนต์สนับสนุนซอฟต์พาวเวอร์
2.การกำหนดทิศทางและก้าวต่อไปของโทรทัศน์ภาคพื้นดินหรือทีวีดิจิทัลที่ใกล้สิ้นสุดใบอนุญาต โดย กสทช. กำลังศึกษาฉากทรรศน์ในอนาคตของอุตสาหกรรมโทรทัศน์ ทางเลือกในเชิงนโยบายในการให้อนุญาตและการกำกับดูแล เพื่อเสนอทางเลือกรองรับการสิ้นสุดใบอนุญาต
3.การศึกษาและกำหนดแนวทางรองรับการผลักดันต้นแบบแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับชาติเพื่อให้ผู้ประกอบกิจการโทรทัศน์สามารถแข่งขันได้ในยุคดิจิทัล National Steaming Platform ที่อยู่ระวางการวางรูปแบบ และทางเลือก ในการเข้าถึงกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล การประมาณการต้นทุนของแต่ละทางเลือก
4. การกำหนดกระบวนการ (ทดลอง) และให้อนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ชุมชนสำหรับประเทศไทย (Roadmap ทีวีชุมชนต้นแบบ) รวมทั้งมีการจัดทำมาตรการส่งเสริมผู้ให้บริการทีวีชุมชน การทดลองทดสอบการนำเทคโนโลยี UHD (4K) ไปใช้งานในกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินและกิจการทางเลือกอื่นๆ และการพัฒนาหลักเกณฑ์และกลไกในการกำกับดูแลกิจการโทรทัศน์ไทยให้สอดคล้องกับระบบนิเวศของอุตสาหกรรมและการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป โดยลดการกำกับดูแลโทรทัศน์แบบดั้งเดิม เพิ่มการกำกับแพลตฟอร์ม
5.การกำหนดขอบเขตการโฆษณาให้ชัดเจนและพัฒนากลไกการกำกับโฆษณา (Self-regulation) การบังคับใช้ประกาศออนไลน์แพลตฟอร์ม/รวมกลุ่ม/ส่งเสริมบริการชุมชน/ส่งเสริมผลิตรายการ การปรับปรุงประกาศ กสทช. เรื่อง หลักเกณฑ์การเผยแพร่กิจการโทรทัศน์ที่ให้บริการเป็นการทั่วไป (Must Carry)
6. การจัดให้มีการจดแจ้งขององค์กรวิชาชีพที่มีการรวมกลุ่มเพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลกันเองภายใต้มาตรฐานทางจริยธรรมของสื่อ (ประกาศรวมกลุ่ม)
7.งานส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในกิจการฯ โดยเฉพาะในบทบาทผู้ประกาศข่าว ผู้รายงานข่าว ผู้ดำเนินรายการ อย่างเป็นมืออาชีพ มีความเป็นกลาง และมีจิตสำนึกรับผิดชอบ โดยสร้างการมีส่วนร่วมจากผู้ประกอบวิชาชีพและเครือข่ายผู้ชมผู้ฟัง
8. การดำเนินมาตรการตามแผน USO การส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ประสานความร่วมมือกับผู้ให้บริการโทรคมนาคม ทำศูนย์ USO กับ กสทช. และ มูลนิธิต่างๆ เช่น มูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย มูลนิธิสานอนาคตการศึกษา คอนเน็กซ์อีดี
9. ขับเคลื่อนการสร้างสรรค์และการใช้สื่อเพื่อการยอมรับความหลากหลายและเข้าใจบริบททางสังคมและการอยู่ร่วมกัน (Diversity and Inclusion) และส่งเสริมคนพิการและผู้ด้อยโอกาสให้สามารถเข้าถึงหรือรับรู้และใช้ประโยชน์จากรายการของกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ได้เพิ่มมากขึ้น
10.การสำรวจระดับการเข้าถึง รับรู้ และใช้ประโยชน์จากข้อมูลข่าวสาร อย่างรู้เท่าทันของประชาชน และเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไปของคนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส รวมถึงผู้ที่มีความหลากหลายในด้านสังคมและวัฒนธรรมด้วย ไม่ใช่เพียงทางด้านกายภาพ
ยังมีงานที่กำลังเดินสายสร้างความร่วมมือเพื่อ online safety, literacy and competency สำหรับกลุ่มเปราะบาง เช่นเด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้อยู่ห่างไกล ผู้ด้อยโอกาสในเมือง การจะสร้างเกณฑ์ให้ยุติธรรม เป็นที่ยอมรับ การทำระบบการตัดสินตามเกณฑ์ จะใช้คน บวกกับ AI ตรวจจับ การจะดึงภาคีเข้ามาร่วม เช่น ธุรกิจห้างร้าน เอเจนซี่โฆษณา ในการพัฒนาไปสู่การทำสื่อโฆษณาที่ดีเพื่อสังคม
“หากศาลมีคำสั่งให้ยุตติการปฎิบัติหน้าที่จนกว่าคดีจะถึงที่สุด ย่อมทำให้งานสร้างสรรค์สื่อที่มีคุณภาพรวมถึงงานด้านการกำกับกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ที่มีเรื่องต้องตัดสินใจและขับเคลื่อนเรื่องสำคัญสำคัญที่เป็นประโยชน์อาจจะชงักงันเอาได้ ศาลจึงยกคำร้องที่บริษัทขอให้ กสทช.พิรงรองระงับการปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา โดยยังคงให้ กสทช.ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป”
ศาสตราจารย์ ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงกรณีที่กสทช. ถูกบริษัทเอกชนฟ้องร้องทั้งที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในงานเสวนา ฬ.นิติมิติ “เจ้าหน้าที่ของรัฐกับการถูกฟ้องคดีอาญา” ว่าการฟ้องคดีดังกล่าว ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดผลแพ้ชนะแต่อย่างใด แต่หวังผลให้เกิดขึ้นใน 4 ประเด็น ได้แก่
1.กสทช. มีจำนวน 7 คน แบ่งเป็น 2 ฝ่าย 3 : 4 เคยเกิดเหตุการณ์ผลประชุมเท่ากัน และเกิดการออกเสียงซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ ศาลรัฐมธรรมนูญมีกฎหมายระบุไว้ว่า ไม่สามารถทำได้ ประธานไม่สามารถออกเสียงซ้ำได้ จะต้องมีการเกลี้ยกล่อมกันจนเกิดฉันทามติ
2.เคยมีประเด็นควบรวม ทรู ดีแทค (ล่มมา 6 ครั้ง) ยังเป็นคดีอยู่ที่ศาลแต่ดำเนินการควบรวมไปแล้ว
3.หากกรณีพิจารณาเรื่อง ทรู กสทช. 7 คน ทรู (ซึ่งมีส่วนได้เสีย) จะคัดค้านว่า อาจารย์พิรงรอง เป็นคู่กรณีต้องถอนตัวเพื่อให้กรรมการเหลือ 6 คน เมื่อคะแนนเสียงเท่ากัน ก็ให้ประธานออกเสียงเพิ่ม 1 เสียง
4.กรณีนี้จึงมิใช่ต้องการให้คดีแพ้หรือชนะ แต่ต้องการฉวยโอกาสเอาเวลาจากความล่าช้าของการพิจารณาคดีมาเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตนโดยใช้ศาลเป็นเครื่องมือ
แหล่งข่าวในวงการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ในการประชุม กสทช.เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นที่บริษัททรูดิจิทัล กรุ๊ป จำกัด ได้ยื่นเรื่องคัดค้านการปฏิบัติหน้าที่ของ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.พิรงรอง โดยอ้างว่าเป็นคู่ขัดแย้งที่มีส่วนได้ส่วนเสีย อีกทั้งยังมีคดีความที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีที่ อท. 147/2566 ที่บริษัท ยื่นฟ้องในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และศาลมีกำหนดนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 14 พ.ค.2567 นี้ โดยที่ประชุมมีการถกเถียงกันอย่างหนักต่อประเด็นดังกล่าว ขณะ กสทช.พิรงรองยืนยันว่า ยังคงมีสิทธิ์เข้าร่วมพิจารณา เพราะศาลยังไม่มีคำสั่งใด ๆ ลงมา ก่อนที่ในท้ายที่สุดที่ประชุมยินยอมให้ กสทช.พิรงรองเข้าประชุมด้วย
“มีความพยายามที่จะไม่ให้ กสทช.พิรงรอง เข้าร่วมพิจารณาในวาระที่ต้องมีการพิจารณากรณีมีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับบริษัททรูดิจิทัลฯ รวมไปถึงกลุ่มบริษัททรูด้วย ด้วยข้ออ้างเป็นคู่ขัดแย้ง ซึ่งหากศาลอาญามีคำพิพากษาให้ กสทช.พิรงรอง ยุติการปฏิบัติหน้าที่ตามคำฟ้องของบริษัท ไม่เพียงจะกระทบต่องานต่าง ๆ ที่ กสทช.อยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษา ยังจะส่งผลกระทบไปถึงการปฏิบัติหน้าที่ของบอร์ด กสทช.เสียงส่วนมากที่คาดว่า อาจจะถูกบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายอื่นๆ เลียนแบบคือหาทางฟ้องปิดปากในลักษณะเดียวกันตามมา”