เมื่อวันอังคาร (18 มิ.ย.) รัฐบาลเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ทางตอนใต้ของจีน เปิดเผยว่า สถาบันนานาชาติเพื่อการพัฒนาการจัดการ (IMD) ในสวิตเซอร์แลนด์ จัดให้ฮ่องกงอยู่ในอันดับ 5 ด้านขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก ประจำปี 2024 ไต่ขึ้นมาจากเดิม 2 อันดับ
รายงานระบุว่า ฮ่องกงมีความโดดเด่นด้านปัจจัยความสามารถการแข่งขัน 4 ด้าน คือ ด้าน “ประสิทธิภาพทางธุรกิจ” และ “โครงสร้างพื้นฐาน” ล้วนเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น จนติด 10 อันดับแรกของโลก อีกทั้งติดสามอันดับแรกในแง่ “ประสิทธิภาพของรัฐบาล” ส่วนอันดับในด้านตัวชี้วัด “ผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจ” มีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของฮ่องกงในปี 2023 ขณะที่ในด้านปัจจัยย่อย ฮ่องกงครองอันดับสูงสุดของโลกด้าน “การค้าระหว่างประเทศ” และ “กฎหมายธุรกิจ” และติดหนึ่งในห้าอันดับแรกด้าน “นโยบายภาษี” “การลงทุนระหว่างประเทศ” “โครงสร้างพื้นฐาน” “การเงิน” และ “การศึกษา”
โฆษกรัฐบาลฮ่องกง กล่าวว่า รายงานข้างต้น ยกให้ฮ่องกงเป็นหนึ่งในเขตเศรษฐกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลก เมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ รวมถึงข้อมูลที่ได้จากการสังเกตและความคิดเห็นทางธุรกิจ โดยฮ่องกงกำลังยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจคุณภาพสูง ในระยะกลางถึงระยะยาว ด้วยการดึงดูดกลุ่มองค์กร ทุน และผู้มีความสามารถจากทั่วทุกมุมโลก ตลอดจนบ่มเพาะพลังการผลิตที่มีคุณภาพใหม่ พร้อมทำหน้าที่เป็น “ตัวเชื่อมชั้นยอด” และ “ตัวเพิ่มมูลค่าชั้นยอด” ต่อไป
หลังจากประเทศจีน ใช้นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศเมื่อกว่า 40 ปีก่อน ฮ่องกงถูกมองว่าเป็น “ประตูสู่จีนแผ่นดินใหญ่” และทุกวันนี้ เมื่อเศรษฐกิจในจีนเติบโตมากขึ้น ฮ่องกงก็ยิ่งต้องเชื่อมโยงกับจีนมากขึ้น โดยรัฐบาลจีนได้ออกยุทธศาสตร์ “เขตเศรษฐกิจพิเศษอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า” หรือ Greater Bay Area ซึ่งครอบคลุม ฮ่องกง มาเก๊า และ 9 เมืองของมณฑลกวางตุ้ง มีประชากรในพื้นที่มากกว่า 68 ล้านคน หรือเทียบเท่าประเทศไทยทั้งประเทศ ขนาด GDP รวมกันมากกว่า 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงกัน เช่น สะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า และ รถไฟความเร็วสูงจากเมืองกว่างโจว ในมณฑลกวางตุ้ง ไปยังสถานีเวสต์ เกาลูน ในฮ่องกง
ฮ่องกงกลายเป็นเขตเศรษฐกิจเสรีที่สุดในโลก ภายใต้นโยบาย “หนึ่งประเทศสองระบบ” มีกฎหมายและการเงินที่เอื้อต่อการทำธุรกิจอย่างมาก รวมถึงระบบภาษีในอัตราต่ำและเรียบง่าย ไม่มีภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินปันผล หรือ ภาษีผลกำไรจากลงทุน ส่วนภาษีศุลกากรก็มีเฉพาะบุหรี่และสุราดีกรีสูงเท่านั้น
และนั่นทำให้ “ฮ่องกง” ยังเป็นดินแดนในฝันของนักลงทุนทั่วโลก
