18 เม.ย. 65 นางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ผลักดันระบบนิเวศของตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (FX ecosystem) ใหม่มาตั้งแต่ปี 2563 เพื่อแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนไทย โดยผ่อนคลายให้เกณฑ์การแลกเปลี่ยนเงินมีความสมดุลมากขึ้นทั้งด้านเงินขาเข้าและขาออก เพิ่มความสะดวกในการลงทุนและทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ตลอดจนช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมของภาคเอกชน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายข้างต้น ธปท. ได้ดำเนินการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งล่าสุดในเดือนเมษายน 2565 สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
1.ผ่อนคลายการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศของคนไทย ทั้งในมิติการโอนเงินออกนอกประเทศ และการชำระระหว่างกันในประเทศ โดย
1) ยกเลิกวงเงินเพื่อโอนไปให้กู้ยืมแก่กิจการนอกเครือในต่างประเทศ และไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ (เดิมมีวงเงิน 50 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อปี) และเพิ่มวัตถุประสงค์การโอนเงินที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจาก ธปท. เป็นรายกรณี เช่น การซื้อหรือโอนเงินไปฝากเข้าบัญชีตนเองในต่างประเทศ เพื่อชำระรายจ่ายในต่างประเทศ
2) ให้ผู้ประกอบการไทยซื้อเงินตราต่างประเทศเพื่อโอนชำระรายจ่ายระหว่างกันภายในประเทศได้ ตามความจำเป็น เช่น การชำระค่าสินค้าที่กำหนดราคาอ้างอิงตลาดโลก (เดิมการโอนระหว่างกันทำได้ผ่านบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศเท่านั้น)
2.ให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ในขอบเขตที่กว้างขึ้น เช่น การทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (hedge) จากการซื้อขายสินค้าที่กำหนดราคาอ้างอิงตลาดโลกกับ คู่ค้าในประเทศ การ hedge แทนกิจการในเครือในประเทศ การ hedge ประมาณการรายรับรายจ่ายเงินตราต่างประเทศที่มากกว่า 1 ปี รวมถึงการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนบนงบการเงิน (balance sheet hedge) เพื่อให้ ผู้ประกอบธุรกิจทั้งผู้นำเข้า ผู้ส่งออก และผู้ประกอบการใน supply chain สามารถบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้คล่องตัวขึ้น จากเดิมที่ต้องขออนุญาตเป็นรายกรณี
3.ลดภาระการแสดงเอกสารในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ โดยลูกค้าที่ผ่านกระบวนการ Know Your Business ของธนาคารพาณิชย์ ไม่ต้องแสดงเอกสารประกอบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (เดิมต้องแสดงเอกสารรายธุรกรรม) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนและภาระด้านเอกสาร ตลอดจนเอื้อต่อการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์
การผ่อนคลายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป