วันจันทร์, ตุลาคม 7, 2024
หน้าแรกไม่มีหมวดหมู่คนไทยชอบดื่ม “แอลกอฮอล์”

Related Posts

คนไทยชอบดื่ม “แอลกอฮอล์”

“…แอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ “เบียร์” คิดเป็น 43.39% “ภาคเหนือ” มีนักดื่มมากที่สุด คิดเป็น 33.1% เผยค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบมูลค่าสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็น 171,313 ล้านบาท ความเสียหายทางอ้อม เช่น ขาดงาน หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควร..”

สสส. – ศวส.- ม.อ. พบ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สร้างความเสียหายในชีวิต – ประเทศชาติ เพิ่มภาระครัวเรือน 170 ล้านบาท/ปี กระทบค่าใช้จ่ายทางการแพทย์มหาศาล เผยผลสำรวจ 10 ปีที่ผ่านมา รณรงค์ลด ละ เลิกเหล้า พบ “นักดื่มลดลง”

เมื่อวันที่ 26 เมษายน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดเสวนาวิชาการออนไลน์หัวข้อปัญหาจากการดื่มสุราและมาตรการของประเทศไทยที่มีการบังคับใช้ พร้อมเผยสถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสังคมไทย พ.ศ. 2564 มีเป้าหมายถอดบทเรียนและผลักดันให้เกิดสังคมปลอดภัยไร้เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 100% เพื่อสุขภาวะที่ดี

นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน เพราะผู้ดื่มขาดสติยั้งคิดทำให้เกิดเหตุแห่งความสูญเสียและสร้างปัญหามากมายในชีวิต ได้แก่

  1. ด้านสุขภาพ โดยภาวะโรคที่เป็นสาเหตุจากการเจ็บป่วยสูงสุดทั้งเพศชายและหญิง ได้แก่ โรคตับจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic liver disease), โรคตับ (Unspecified liver disease), โรคหัวใจขาดเลือด (lschemic heart disease), ภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเฉียบพลัน (Alcohol acute intoxication)
  2. ด้านสังคมและวัฒนธรรม เช่น เกิดความรุนแรงในครอบครัว, ทะเลาะวิวาท, อุบัติเหตุทางถนน และ
  3. ด้านเศรษฐกิจและพัฒนาประเทศ เช่น สูญเสียค่ารักษาพยาบาลทางการแพทย์มหาศาล, หน้าที่การงานมีปัญหา, ทรัพย์สินเสียหายจากอุบัติเหตุ, ประเทศขาดโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ สะท้อนให้เห็นปัญหาด้านลบต่อประเทศชัดเจน

นพ.ไพโรจน์ กล่าวต่อว่า ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา (ศวส.) เผยการสำรวจพฤติกรรมสุขภาพของประชาชน พ.ศ.2564 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป พบเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ “เบียร์” คิดเป็น 43.39% ส่วนอัตราการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบ “ภาคเหนือ” มีนักดื่มมากที่สุด คิดเป็น 33.1% ขณะที่ประเภทของนักดื่มแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.นักดื่มหนักในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวน 15.96 ล้านคน 2.นักดื่มประจำ มีจำนวน 6.99 ล้านคน และ 3.นักดื่มเป็นครั้งคราว 8.97 ล้านคน

และเมื่อนำมา เปรียบเทียบกับ 10 ปีที่ผ่านมา พบคนไทยมีแนวโน้มดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลงเหลือ 28% ขณะที่กองบัญชีประชาชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เผยค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบมูลค่าสูญเสียทางเศรษฐกิจคิดเป็น 171,313 ล้านบาท เป็นความเสียหายทางอ้อม เช่น ขาดงาน หรือเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทำให้ สสส. และภาคีเครือข่าย ยืนยันเดินหน้าส่งเสริมให้ประชาชนลด ละ เลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และอบายมุขทุกชนิด เพื่อสุขภาวะที่ดีของตัวเองและประเทศชาติต่อไป

ดร.นพ.พลเทพ วิจิตรคุณากร รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยปัญหาสุรา กล่าวว่า เมื่อจำแนกสถานการณ์รายจังหวัด พบว่า การใช้คะแนนความเสี่ยงซึ่งครอบคลุมหลายปัจจัยจึงมีประโยชน์ เนื่องจากการดื่มสุราเป็นปัญหาที่ซับซ้อน โดยประเทศไทยมีการใช้ดัชนีที่มีชื่อว่า “ดัชนีคะแนนความเสี่ยงต่อปัญหาแอลกอฮอล์ของจังหวัด (Provincial Alcohol Problem Index; PAPI)” เป็นตัวชี้วัดที่ประกอบไปด้วยตัวชี้วัด 5 ข้อที่สำคัญ ได้แก่ (1) ความชุกของผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาในประชากรผู้ใหญ่ (นักดื่มปัจจุบัน) (2) สัดส่วนของผู้บริโภคประจำต่อผู้บริโภคทั้งหมดในนักดื่มปัจจุบัน (3) สัดส่วนของผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก/บริโภคหนักในนักดื่มปัจจุบัน (4) สัดส่วนของการดื่มแล้วขับขี่ยานพาหนะในนักดื่มปัจจุบัน และ (5) ความชุกของผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาในประชากรวัยรุ่น โดยจังหวัดที่มีค่าเฉลี่ยดัชนีความเสี่ยงต่อปัญหาแอลกอฮอล์ในระดับสูง (0.60 คะแนนขึ้นไป) ส่วนใหญ่อยู่ในภาคเหนือและบางส่วนกระจายตัวอยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก โดย 5 อันดับสูงสุด ได้แก่ น่าน (0.723 คะแนน) เชียงราย (0.722 คะแนน) แพร่ (0.704 คะแนน) มุกดาหาร (0.696 คะแนน) และพะเยา (0.688 คะแนน) โดยส่วนใหญ่ขึ้นมาจากลำดับในปี พ.ศ. 2560 ยกเว้นเชียงรายที่ได้ลำดับ 2 เช่นเดิม ส่วนกลุ่มจังหวัดที่มีดัชนีคะแนนความเสี่ยงฯ ต่ำ (น้อยกว่า 0.4 คะแนน) ส่วนใหญ่อยู่ในภาคใต้ โดย 5 ลำดับต่ำสุดเป็นกลุ่มเดิมกับเมื่อปี พ.ศ. 2560 ได้แก่ ยะลา (0.123 คะแนน) ปัตตานี (0.148 คะแนน) นราธิวาส (0.172 คะแนน) พังงา (0.277 คะแนน) และสิงห์บุรี (0.284 คะแนน) สำหรับจังหวัดอื่น ๆ สามารถดูค่าสถิติได้จาก Dashboard ต่อไปนี้ shorturl.at/syN46

ดร.จิราลักษณ์ นนทารักษ์ อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ความชุกของนักดื่มปัจจุบันมีแนวโน้มคงที่ สาเหตุหนึ่ง คือ ประชากรไทย “ส่วนใหญ่ไม่ใช่นักดื่ม” และจำนวนคนดื่มมีแนวโน้ม “หยุดดื่มเพิ่มขึ้น” ส่งผลให้ความชุกของนักดื่มปัจจุบันไม่เพิ่มทั้งที่แนวโน้มของนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เปลี่ยนแปลงไปตามโครงสร้างลักษณะทางประชากรและสังคมร่วมกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิค-19 (COVID-19) ส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสังคมไทย นอกจากนี้ แนวโน้มนักดื่มหน้าใหม่ในผู้หญิงเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบจากปี พ.ศ.2560 และสัดส่วนนักดื่มวัยรุ่น/เยาวชนแนวโน้มหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ซึ่งสวนทางกับต่างประเทศที่แนวโน้มลดลง ข้อมูลนี้อาจจะสะท้อนให้เห็นถึง อิทธิพลของโฆษณาหรือการตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่พยายามทำให้เกิดนักดื่มหน้าใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะนักดื่มเยาวชนและนักดื่มหญิง เมื่อพิจารณาปริมาณการบริโภคเอทานอลบริสุทธิ์ต่อหัวประชากรต่อปี (ลิตร) เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ลดลงต่ำสุดเท่ากับ 5.95 ลิตร/คน/ปี ใน พ.ศ. 2561 แล้วเพิ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2562–2563 เป็น 7.67 ลิตร/คน/ปี โดยเครื่องดื่มที่นิยมสูงสุด คือ เบียร์ คิดเป็นร้อยละ 53.2 ในผู้ชาย และ ร้อยละ 69.9 ในผู้หญิง สำหรับค่าใช้จ่ายในการดื่มแอลกอฮอล์ พบว่ามีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยเพิ่มขึ้นจาก 775 บาท/คน/เดือน ในปี พ.ศ. 2554 เป็น 1,677 บาท/คน/เดือน ในปี พ.ศ. 2564 ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายในการดื่มของผู้มีรายได้น้อย (≤ 2,500 บาท/เดือน) เทียบกับสัดส่วนต่อรายได้ต่อเดือน “มากกว่า” ของผู้มีรายได้สูง (> 13,500 บาท/เดือน) ดังนั้น การมีค่าใช้จ่ายจากการดื่มยิ่งมากอาจทำให้ครอบครัวจนลงเพิ่มขึ้น

ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี ตาเละ อาจารย์คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี กล่าวว่า ภายหลังการหดตัวของการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในช่วงปี พ.ศ. 2563-2564 ที่ผ่านมา ทำให้ปริมาณการบริโภคและรายได้ของอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ลดลงในช่วงเวลาดังกล่าว สำหรับปี พ.ศ. 2565-2567 คาดว่ารายได้ของผู้ผลิตทั้งเบียร์และสุราจะค่อยๆ ฟื้นตัวตามทิศทางตลาดในประเทศที่กระเตื้องขึ้นและปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลาย ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม การพบปะสังสรรค์สามารถดำเนินได้บ้าง ส่งผลให้ตลาดในประเทศมีแนวโน้มกลับมาและกระตุ้นตลาดเพื่อดึงดูดผู้บริโภค เช่น การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และความหลากหลายของขนาดบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงสินค้า โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ขนาดเล็กเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้บริโภคฐานรากที่มีกำลังซื้อไม่มากนัก โดยการรักษากลุ่มนักดื่มเดิมของอุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ จากการใช้กลยุทธ์การตลาดแบบ Sport Sponsorship การสนับสนุนงานบุญวัฒนธรรมประเพณี และการตลาดแบบ Surrogate marketing ซึ่งใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ แต่ให้ปรากฎสัญลักษณ์ของแอลกอฮอล์ อย่างเช่น โซดา หรือ น้ำดื่ม เป็นกลยุทธ์ที่ยังคงมีการใช้ในวงกว้างของอุตสาหกรรม นอกจากนี้กลยุทธ์การตลาดใหม่ที่เกิดขึ้นหลังยุคเฟื่องฟูของ social media ที่เปลี่ยนจากการโพสต์รูป (Facebook, Instagram, Twitter) มาเป็นเนื้อหาในรูปวิดีโอขนาดสั้น (TikTok, IG Stories, FB Stories, REEL FB) ทำให้รูปแบบการผลิตการตลาดแฝงเปลี่ยนไปในรูปของการแนะนำการดื่ม/โฆษณาแฝง รวมไปถึงการมุ่งเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ เช่น การจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มมอลต์ปราศจากแอลกอฮอล์ แต่ใช้บรรจุภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกับเบียร์ เจาะไปยังตลาดนักดื่มรักสุขภาพ และนักดื่มหน้าใหม่ที่ยังไม่กล้าดื่มแอลกอฮอล์เป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก หรือผลิตภัณฑ์ที่เคยทำการตลาดในกลุ่มนักดื่มชายหลายผลิตภัณฑ์เริ่มสนใจตลาดนักดื่มหญิงมากขึ้น เป็นต้น

“ความท้าทายของการป้องกันการตลาดออนไลน์ยังคงเป็นประเด็นสำคัญในการรับมือกับการตลาดของอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเปลี่ยนจากยุคที่มีสื่อจำกัดเพียงไม่กี่สื่อ มาเป็นยุคที่มี Micro Influencer มากมาย ทำให้การบังคับใช้กฎหมายและควบคุมพฤติการณ์ที่มีแนวโน้มส่งเสริมการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเรื่องยาก” ดร.นพ.มูฮัมมัดฟาห์มี กล่าว

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts