วันนี้ (9 พฤษภาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 ตลอดจน การพิจารณากำหนดมาตรการประกอบการเปิดประเทศอย่างต่อเนื่อง และยินดีที่ประเทศเพื่อนบ้านขานรับนโยบายการเปิดประเทศร่วมกัน ตอกย้ำนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบ 2 ประเทศ 1 จุดหมาย (Two Countries One Destination)
ทั้งนี้ ภายหลังการเปิดประเทศทางบกของไทย ประเทศมาเลเซียได้ประกาศมาตรการที่สอดคล้องกับมาตรการของไทย โดยได้เปิดช่องทางด่านพรมแดนที่ติดต่อกับจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา จำนวน 3 ด่าน ได้แก่ (1) ด่านถาวรด่านเปิงกาลันกุโบร์ – ด่านตาบา (2) ด่านบูกิตบุหงา – ด่านบูเก๊ะตา และ (3) ด่านรันเตาปันยัง – ด่านสุไหงโก-ลก
สำหรับคนไทยที่มีความประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศมาเลเซีย ต้องมีหนังสือเดินทางหรือหนังสือผ่านแดน ลงทะเบียนผ่าน แอพพลิเคชั่น Mysejahtera ก่อนล่วงหน้า 2 วัน และเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มเท่านั้นในกรณีฉีดวัคซีนไม่ครบ 2 เข็ม หรือยังไม่ฉีดวัคซีนจะไม่อนุญาตให้เดินทางระหว่างประเทศ ซึ่งจะอนุญาตเฉพาะบุคคล ไม่รวมยานพาหนะ ตั้งแต่เวลา 07.00-19.00 น.
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองประเทศได้ประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด โดยหน่วยงานของไทยได้มีการเตรียมแผนรองรับสำหรับการอำนวยความสะดวกให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไว้แล้ว โดยคาดว่าเศรษฐกิจ การค้า และการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยที่บริเวณด่านพรมแดนสุไหงโก-ลก ได้มีชาวมาเลเซียเดินทางเข้ามาโดยใช้หนังสือเดินทาง และใช้หนังสือผ่านแดน เข้ามาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวันที่ทำการเปิดด่านพรมแดน
ขณะที่วันนี้ (9 พฤษภาคม 2565) สปป. ลาว เปิดประเทศเต็มรูปแบบ ในด่านสากลทุกด่าน โดยอนุญาตให้พลเมืองทุกสัญชาติ ที่ยกเว้นวีซ่ากับ สปป.ลาว สามารถเข้าประเทศลาวได้ไม่ต้องขอวีซ่า เพียงขอให้มีผลตรวจ ATK ภายใน 48 ชั่วโมง ก่อนออกเดินทางจากประเทศต้นทาง และเมื่อถึง สปป.ลาว ไม่ต้องมีการตรวจซ้ำ หากไม่มีใบรับรองฉีดวัคซีนครบโดส ทั้งนี้ สปป. ลาว ถือเป็นเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดกับไทย การเปิดประเทศดังกล่าวจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และการท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี
การเปิดด่านชายแดนดังกล่าวของมาเลเซียเป็นการตอกย้ำความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างเพื่อนบ้านทั้งสองประเทศ ซึ่งต่างมุ่งมั่น พร้อมฟื้นฟูเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยง และพร้อมสนับสนุนให้ประชาชนสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้มากขึ้น ตามแนวทางที่นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได้มีการหารือกันไว้ อันจะเป็นการช่วยฟื้นฟูผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจตามแนวชายแดน ในขณะที่ยังคงต้องให้ความสำคัญกับมาตรการด้านสาธารณสุขและการควบคุมโรค ซึ่งการเปิดด่านทางบกครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่จะปูทางไปสู่การเปิดพรมแดนทางอากาศร่วมกันอีกครั้งโดยเร็ว เพื่อจะช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศ เช่นเดียวกับนโยบายผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศของหลายๆ ประเทศ ซึ่งจะเป็นโอกาสสนับสนุนนโยบายการท่องเที่ยวแบบ 2 ประเทศ 1 จุดหมาย (Two Countries One Destination) เป็นประโยชน์แก่ทั้งสองประเทศร่วมกัน