“….ประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความแตกแยก เพราะมีอำนาจใหญ่ไปกระทำ ขยายความแตกต่างให้เป็นความแตกแยก ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างของระดับการพัฒนาประเทศ หรือความแตกต่างทางศาสนา ชาติพันธุ์ หรือลัทธิความเชื่อ ล้วนแต่กลายเป็นเครื่องมือให้แก่การสร้างความแตกแยก ลองไปถามดูสิว่า ทำไมอินเดียกับปากีสถานจึงรบกันมาเป็นระยะๆจนถึงวันนี้ มาถึงวันนี้ เรากำลังจะประจักษ์กับสายตาตนเองแล้วว่า สังคมโลกกำลังจะก้าวจากยุคแตกแยกเข้าสู่ยุคแตกต่าง แต่ความแตกแยกจะหมดไป ก็จะต้องมีอำนาจนำที่แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับทำหน้าที่ชี้ชวนให้นานาชาติร่วมกันสร้างฐานการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ซึ่ง ณ วันนี้ ประเทศที่กำลังแสดงบทบาทนำเช่นนี้ ก็คือจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลที่ปรากฏออกมาภายหลังจากประจัญบานกับสหรัฐอเมริกาในสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเกือบสิบปี ทำให้ทั่วทั้งโลกประจักษ์ยิ่งขึ้นในความยิ่งใหญ่ของจีนในแทบทุกด้าน ความยิ่งใหญ่ที่ว่านี้แหละ ที่จะเป็นตัวแปรหลักในการขับเคลื่อนสังคมโลกให้พ้นจากยุคแตกแยกเข้าสู่ยุคแตกต่าง ทั่วทั้งโลกจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติบนความแตกต่าง ร่วมกันสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองและสมบูรณ์พูนสุข สังคมโลกที่เป็นหนึ่งเดียวกันบนความแตกต่างอันยั่งยืน……”

โลกหนึ่งเดียวบนความแตกต่าง 和而不同的世界统一体
ประวัติศาสตร์ไม่เคยหยุดนิ่ง สิ่งที่เรามองเห็นวันนี้ไม่เพียงแต่ยืนยันในสิ่งที่กำลังเป็นไปเท่านั้น แต่ยังบ่งบอกเบาะแสถึงสิ่งที่มีแนวโน้มจะอุบัติขึ้นด้วย
สิ่งที่เราเห็นวันนี้ คือสังคมโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งแตกแยก แต่ในความขัดแย้งแตกแยกนี้ กลับปรากฏฐานแห่งความเป็นปึกแผ่นของสังคมโลกชัดเจนยิ่งนัก
สังคมโลกที่แตกแยก ณ วันนี้ ตั้งอยู่บนฐานของอำนาจหลายขั้วที่แก่งแย่งกัน ทั้งแก่งแย่งกันครองความเป็นจ้าวเหนือโลก และแก่งแย่งกันกอบโกยทรัพยากรของโลก ด้วยวิธีการยึดดินแดนเป็นอาณานิคมแล้วดำเนินการปกครองแบบ”แบ่งแยกแล้วปกครอง”
ด้วยเหตุนี้ ความแตกแยกกลายเป็นสภาวะทั่วไปบนผิวโลกดวงนี้ ทั้งในระดับประเทศที่ครอบครองและระดับดินแดนที่ถูกครอบครอง
แม้ภายหลังการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลังสงครามโลกครั้งที่2 ที่ดินแดนอาณานิคมประกาศตนเป็นเอกราชจนเกือบจะทั้งหมดแล้ว แต่โครงสร้างอำนาจที่ยังยึดติดกับแนวคิดแก่งแย่งเป็นหลัก ยังคงแสดงบทบาทนำ ทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงเป็นระยะๆทั้งในระหว่างประเทศมหาอำนาจด้วยกันและระหว่างประเทศมหาอำนาจกับประเทศกำลังพัฒนา และโดยเฉพาะระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน
ดังนั้น ตลอดเวลาเกือบร้อยปีที่ผ่านมา สงครามน้อยใหญ่ไม่เคยขาด สงครามเย็นและสงครามการค้า สงครามไซเบอร์ ตลอดจนสงครามจิตวิทยา ยังคงดำเนินมาตลอด
บรรยากาศของสังคมโลกจึงเป็น”ความแตกแยก”
ทว่ามาถึงวันนี้ เรากำลังจะประจักษ์กับสายตาตนเองแล้วว่า สังคมโลกกำลังจะก้าวจากยุคแตกแยกเข้าสู่ยุคแตกต่าง
นัยสำคัญของมันก็คือ ความแตกแยกจะหมดไป เหลือแต่ความแตกต่าง
ความแตกแยกอันเกิดจากการกระทำของมนุษย์ด้วยกันจะหลีกทางให้กับความแตกต่างที่เป็นไปตามธรรมชาติของวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์
กระนั้นก็ตาม ความแตกแยกจะหมดไป ก็ต้องอาศัยการกระทำของมนุษย์ด้วยเช่นกัน คือจะต้องมีอำนาจนำที่แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับทำหน้าที่ชี้ชวนให้นานาชาติร่วมกันสร้างฐานการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
ซึ่ง ณ วันนี้ ประเทศที่กำลังแสดงบทบาทนำเช่นนี้ ก็คือจีน
ตลอดเวลาสองสามทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้เร่งพัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน ประสบความสําเร็จจนเป็นที่ยอมรับของประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลที่ปรากฏออกมาภายหลังจากประจัญบานกับสหรัฐอเมริกาในสงครามการค้าและสงครามเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่องเกือบสิบปี ทำให้ทั่วทั้งโลกประจักษ์ยิ่งขึ้นในความยิ่งใหญ่ของจีนในแทบทุกด้าน
ความยิ่งใหญ่ที่ว่านี้แหละ ที่จะเป็นตัวแปรหลักในการขับเคลื่อนสังคมโลกให้พ้นจากยุคแตกแยกเข้าสู่ยุคแตกต่าง
ทั่วทั้งโลกจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติบนความแตกต่าง ร่วมกันสร้างอนาคตที่รุ่งเรืองและสมบูรณ์พูนสุข
จากนี้พอจะมองเห็นว่า ประวัติศาสตร์โลกที่ผ่านมา ทำไมจึงเต็มไปด้วยความแตกแยก เพราะมีอำนาจใหญ่ไปกระทำ ขยายความแตกต่างให้เป็นความแตกแยก
ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างของระดับการพัฒนาประเทศ หรือความแตกต่างทางศาสนา ชาติพันธุ์ หรือลัทธิความเชื่อ ล้วนแต่กลายเป็นเครื่องมือให้แก่การสร้างความแตกแยก
ลองไปถามดูสิว่า ทำไมอินเดียกับปากีสถานจึงรบกันมาเป็นระยะๆจนถึงวันนี้
เพียงเพราะเขามีความแตกต่างกันเท่านั้นมิใช่หรือ?
แน่ละ ลำพังสองประเทศนี้คงจะไม่มีทางตกลงกันได้ว่าจะร่วมกันอยู่อย่างสันติบนชมพูทวีปได้อย่างไร เนื่องจากถูกวางหมากจากอังกฤษ ผู้เป็นเจ้าอาณานิคมเหนือดินแดนนี้จนสุดที่จะแก้ได้
เปรีบบเทียบกับความขัดแย้งทางดินแดนระหว่างจีนกับอินเดีย อันเป็นผลจากการวางหมากของอังกฤษเช่นเดียวกัน ประเทศจีนสามารถจัดการให้กรณีพิพาททางชายแดนกับอินเดียวนเวียนอยู่ในกรอบทางการทูตเป็นหลัก ไม่เปิดโอกาสให้ตะวันตกกระตุ้นความฮึกเหิมของอินเดียจนกลายเป็นสงครามได้เป็นอย่างดี
ควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งรูปแบบต่างๆที่มหาอำนาจตะวันตกกระตุ้นเข้าใส่ได้เป็นอย่างดี จีนก็เดินหน้าสร้างเงื่อนไขใหม่ๆให้แก่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ บนฐานการสร้างความความเจริญรุ่งเรืองทันสมัยอย่างรอบด้านกับประเทศต่างๆทั่วโลกอย่างรวดเร็วและได้ผลดียิ่ง ทำให้อำนาจกำหนดการขับเคลื่อนสังคมโลก จากยุคแตกแยกเข้าสู่ยุคแตกต่างเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และอย่างรวดเร็ว
เป้าหมายคือสังคมโลกที่เป็นหนึ่งเดียวกันบนความแตกต่างอันยั่งยืน
ไขคำจีน
统一体 ถ่งอีถี่ องค์เอกภาพ ความเป็นหนึ่งเดียวกัน