การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 58 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ 11 ก.ค. ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก
โดยเฉพาะการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากร ระหว่าง 25-40% ต่อ 6 ประเทศในอาเซียน ทำให้สมาคมประชาชาติแห่งอาเซียน เรียกร้องให้เพิ่มการค้าระหว่างกัน เพื่อลดแรงกดดันจากภายนอก หันมาค้าขายระหว่างกันให้มากขึ้น ลงทุนให้มากขึ้น และเดินหน้าบูรณาการในทุกภาคส่วน ด้วยความตั้งใจ
ท่ามกลางกระแสเอกภาพนิยม หรือการกระทำฝ่ายเดียว และการกีดกันทางการค้าที่รุนแรงในปัจจุบัน จีนและกลุ่มประเทศอาเซียน ได้แสดงความปรารถนาแรงกล้า ที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกัน รวมเป็นหนึ่ง และร่วมมือกัน รับมือกับความท้าทายร่วมกัน
ทั้งสองฝ่ายยืนยันการเจรจา เขตการค้าเสรีจีน-อาเซียน เวอร์ชัน 3.0 เสร็จสิ้น พร้อมตกลงจะยื่นขออนุมัติและลงนาม ในการประชุมคณะผู้นำเดือนตุลาคม ซึ่งส่งสัญญาณว่าจีนและอาเซียน จะยังคงส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ และสร้างเครือข่ายการค้าเสรีระดับสูงในภูมิภาค
จีนและอาเซียนยังเห็นพ้องต้องกัน เกี่ยวกับแผนปฏิบัติการ ความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์รอบด้าน สำหรับระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ซึ่งกำหนดเป้าหมายความร่วมมือด้านต่างๆ มากกว่า 40 ข้อ ที่จะช่วยอัดฉีดแรงกระตุ้นอันแข็งแกร่ง สู่ความร่วมมือทวิภาคี อันเป็นรูปธรรมในระยะถัดไป
การค้าเสรีจีน-อาเซียน เวอร์ชัน 3.0 หรือ CAFTA 3.0 คือ การปรับปรุงความตกลงการค้าเสรี ระหว่างจีนและอาเซียน เพื่อให้มีความครอบคลุม ทันสมัย และอำนวยประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่ายมากขึ้น โดยจะมีการเพิ่มเติม 9 บทใหม่ เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจสีเขียว และการเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน ทั้งสองฝ่ายตั้งเป้าลงนาม ภายในเดือนตุลาคม 2568