แถลงการณ์ร่วมจากการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 58 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันศุกร์ 11 ก.ค. ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศเรียกเก็บภาษีศุลกากรระหว่าง 25-40% ต่อ 6 ประเทศในอาเซียน
นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย กล่าวเรียกร้องให้สมาคมประชาชาติแห่งอาเซียน เพิ่มการค้าระหว่างกัน เพื่อลดแรงกดดันจากภายนอก หันมาค้าขายระหว่างกันให้มากขึ้น ลงทุนให้มากขึ้น และเดินหน้าบูรณาการในทุกภาคส่วนด้วยความตั้งใจ
คณะรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน เน้นย้ำความสำคัญของระบบการค้าพหุภาคี ต้องโปร่งใส ครอบคลุม เสรี เป็นธรรม ยั่งยืน และยึดถือกฎเกณฑ์ ซึ่งมีองค์การการค้าโลก หรือ WTO เป็นแกนกลาง ด้วยการปรึกษาหารือ ระหว่างอาเซียนกับหุ้นส่วนภายนอก อาทิ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น และนิวซีแลนด์ เกี่ยวกับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ในภูมิภาคและทั่วโลก
ด้าน หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวว่า จีนยังคงยึดมั่นหลักการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และการมีอนาคตร่วมกัน พร้อมทำงานร่วมกับอาเซียนเพื่อส่งเสริมค่านิยมของเอเชีย ปลอดภัย มั่งคั่ง งดงาม และเปี่ยมด้วยมิตรภาพ สร้างประชาคมจีน-อาเซียน ที่มีอนาคตร่วมกัน
ที่ประชุมระบุว่า อาเซียนควรเพิ่มการใช้ประโยชน์จากความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค หรือ RCEP ประกอบด้วย 10 ประเทศสมาชิกอาเซียน และ 5 ประเทศคู่เจรจา ได้แก่ ออสเตรเลีย, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, นิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นกรอบการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขนาดจีดีพี 1 ใน 3 ของโลก
นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม BRICS ที่ร่วมกันก่อตั้งโดย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และ แอฟริกาใต้ ช่วยลดผลกระทบเชิงลบ กระจายสินค้าหนีมรสุมการขึ้นภาษีของสหรัฐอเมริกาได้