พ.ต.อ.วิรุตม์ ศิริสวัสดิบุตร เลขาธิการสถาบันเพื่อการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม(สป.ยธ.) กล่าวในการเป็นวิทยากร “โครงการรับฟังความคิดเห็นจากพนักงานอัยการจังหวัดเกี่ยวกับปัญหาการสอบสวนและดำเนินคดี” ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมวันทรี ซิตี้ รีสอร์ท จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 18- 19 ก.ค. 2565 มีอัยการจังหวัดในเขตภาคเหนือทุกจังหวัดเข้าร่วมประมาณ 60 คน ว่า
“ปัจจุบันประชาชนโดยเฉพาะคนยากจนได้รับความเดือดร้อนจากการสอบสวนคดีอาญาอย่างแสนสาหัส โดยเฉพาะปัญหาเรื่องพนักงานสอบสวนไม่ยอมรับคำร้องทุกข์ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตามกฎหมายโดยไม่ชักช้าตาม ป.วิ อาญามาตรา 130 อาจกล่าวได้ว่า ผู้เสียหายไปแจ้งความ 100 คดี จะมีการรับคำร้องทุกข์จริงไม่เกินห้าคดีเท่านั้น!”
พ.ต.อ.วิรุตม์ กล่าวว่า สาเหตุเป็นเพราะตำรวจผู้เป็นพนักงานสอบสวนซึ่งอยู่ในระบบยศและการปกครองแบบทหาร ได้ถูกผู้บังคับบัญชาสั่งการทั้งโดยตรงและทางอ้อมไม่ให้รับคำร้องทุกข์จากประชาชนง่ายๆ เพื่อไม่ให้ตัวเลขสถิติอาชญากรรมที่เกิดจากการ “รับส่วย” แหล่งอบายมุขผิดกฎหมายในพื้นที่รับผิดชอบสูงขึ้น นอกจากนั้น การสอบสวนคดีสำคัญๆ ก็มีปัญหา ประชาชนไม่เชื่อถือว่าตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนหรือไม่ถูกบิดเบือน ซึ่งประชาชนทั้งผู้เสียหายและผู้ต้องหาจะหวังพึ่งอัยการก็ไม่ได้ เพราะแม้สามารถหาพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา ก็ไม่กล้าให้ตำรวจ และก็ไม่รู้ไปให้อัยการได้อย่างไร กับใคร และช่วงเวลาใดก่อนที่จะได้รับสำนวนจากตำรวจ!
“ทำให้หลายคดี พยานหลักฐานที่สำคัญเหล่านี้กลายเป็น “ข้อเท็จจริงนอกสำนวน” ไป ไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาไม่ว่าในชั้นอัยการหรือศาล ซึ่งนั่นหมายถึงว่า ได้มีความเสียหายต่อความยุติธรรมอย่างร้ายแรงเกิดขึ้นแล้ว เพราะการรวบรวมพยานหลักฐานไม่ได้กระทำอย่างครบถ้วนก่อนที่อัยการจะสั่งคดี”
เลขาธิการสป.ยธ. กล่าวว่า หัวใจของการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่สำคัญก็คือ จะต้องแก้ไขกฎหมายให้อัยการ “มีอำนาจเข้าตรวจสอบและควบคุมการสอบสวนคดีที่สำคัญหรือเมื่อได้รับการร้องเรียนว่าพนักงานสอบสวนไม่ได้รวบรวมพยานหลักฐานอย่างครบถ้วน” เช่นเดียวกับระบบการสอบสวนคดีอาญาในนานาอารยประเทศทั่วโลก แต่ขณะนี้ การแก้ไขเพิ่มกฎหมายในเรื่องการสอบสวนเป็นไปได้ยาก แม้จะผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรได้ง่าย แต่ก็มีกลุ่มตำรวจผู้ใหญ่หัวโบราณที่เป็น “วุฒิสมาชิกแต่งตั้ง” คอยขัดขวางอยู่ทุกวิถีทาง ทั้งอัยการและประชาชนจึงต้องรอให้วุฒิสภาแต่งตั้งชุดนี้หมดวาระ หรือบางคนอาจจะตายไปตามอายุขัยและสังขาร การแก้ไขกฎหมายก็ทำได้ไม่ยาก
อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้ สำนักงานอัยการสูงสุดสามารถแก้ปัญหาเท่าที่สามารถทำได้ โดยอาศัยตามอำนาจ พ.ร.บ.องค์กรอัยการ ในการค้นหาความจริงเพื่อความยุติธรรม โดยต้องออกคำสั่งจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการสืบสวนสอบสวนคดีสำคัญ” ขึ้นในส่วนกลาง ดำเนินการเก็บรวบรวมพยานหลักฐานคดีสำคัญไว้ในทันทีที่เกิดเหตุตามคำสั่ง อสส. ประสานการปฏิบัติกับอัยการจังหวัดและพื้นที่ โดยมี “เจ้าพนักงานคดี” ผู้มีความรู้ทางนิติวิทยาศาสตร์และกฎหมาย เป็นผู้ช่วยในการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งจากหน่วยงานที่ร่วมทำบันทึกข้อตกลง หรือ MOU ไว้ ระหว่างสำนักงานอัยการสูงสุด กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงสาธารณสุข และสมาคมแพทย์นิติเวช รวมทั้งความร่วมมือจากมูลนิธิและอาสาสมัครกู้ชีพ กู้ภัยต่างๆ นอกจากนั้นก็ยังสามารถเปิดช่องทางให้ประชาชนส่งข้อมูลหรือเบาะแสพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำผิดคดีอาญาสำคัญต่างๆ ให้อัยการทราบและเก็บรวมไว้ก่อนที่จะได้รับสำนวนการสอบสวนจากตำรวจอีกทางหนึ่งด้วย