วันจันทร์, เมษายน 29, 2024
หน้าแรกสืบเศรษฐกิจ‘สว.สังศิต’ เสนอ นายกฯตั้งกองทุนฯ SIF COVID-19แก้ เศรษฐกิจ-ความยากจน

Related Posts

‘สว.สังศิต’ เสนอ นายกฯ
ตั้งกองทุนฯ SIF COVID-19
แก้ เศรษฐกิจ-ความยากจน

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธาน กมธ.แก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา ยื่นจดหมายถึงนายกฯ ตั้ง’กองทุน SIF COVID -19’ ฟื้นเศรษฐกิจแต่ความยากจน คาด 3 ปีประชาชนและชุมชนท้องถิ่น ที่ได้รับผลกระทบจากวิฤติโควิด-19 ได้ประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน

นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธาน กมธ.แก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา เปิดเผยว่า ‘ วันนี้ (29 กค 2564) ตนได้ยื่นหนังสือ เสนอ ตั้ง ‘โครงการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจฐานรากจากวิกฤติ COVID-19” เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ แก้ไขปัญหาความยากจน ซึ่งสอดคล้องกับแผนปฏิรูปประเทศด้านสังคม

‘เราขอให้นำบทเรียนรู้จากโครงการกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม (SIF – Social Investment Fund) ที่เคยใช้ได้ผลในยุควิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง มาปรับใช้ในการฟื้นฟูสังคมในยุคโควิด’

‘รัฐบาลยุคนั้นได้ตั้งกองทุนเพื่อการลงทุนทางสังคม (Social Investment Fund)ขึ้น  ใช้เงินกู้จาก IMF ภายใต้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดของธนาคารโลก โดยมอบธนาคารออมสิน หน่วยงานที่ไม่ใช่ราชการแต่เป็นรัฐวิสาหกิจ(กึ่งรัฐกึ่งธุรกิจ) ให้เป็นหน่วยดูแลรับผิดชอบ

สนับสนุนเงินให้แก่โครงการที่ตอบสนองความต้องการชุมชนและเพื่อชุมชน โดยองค์กรท้องถิ่นและชุมชนเป็นผู้ริเริ่มเสนอโครงการโดยตรง กองทุน SIF ได้สนับสนุนโครงการแก่องค์กรชุมชนต่างๆ รวม 7,874 โครงการ ในวงเงิน 4,401 ล้านบาท ประชาชนได้รับประโยชน์จากโครงการรวมทั้งสิ้น 13.0 ล้านคน ในระยะ 49 เดือนระหว่างพฤศจิกายน 2541 – มกราคม 2546

“วิกฤตต้มยำกุ้ง” อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปี 2541 ติดลบ 7.6% ส่วนผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดของไวรัสโควิด-19 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาดว่าจีดีพีปี 2563 หดตัว -8.1% และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์อยู่ที่ติดลบ -7.7% น่าจะ “รุนแรงกว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง” เพราะเศรษฐกิจไทยพึ่งพาภาคการส่งออกและท่องเที่ยวในสัดส่วนสูง’

นายสังศิต กล่าวอีกว่า ‘ธนาคารโลก โควิด-19 จะทำให้คนไทยเข้าสู่ภาวะยากจนเพิ่มขึ้นในปี 2563 เป็น 5,200,000 คน หรือ เพิ่มขึ้น 1,500,000 คน หากเทียบกับปี 2562 ที่มีคนยากจนอยู่ที่ 3,700,000 คน  ผลกระทบนี้ทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจก็จะมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของตนเองและคนในครอบครัวตามมา โดยเฉพาะกลุ่มคนยากจน-กลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะยิ่งทำให้สังคมไทยเกิดปัญหาช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางสังคมตามมาด้วย’

จึงเสนอ นายกรัฐมนตรีให้จัดตั้ง “โครงการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจฐานรากจากวิกฤติ COVID-19” เพื่อขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมจากพลังทางสังคมและชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ แก้วิกฤติครั้งนี้’

ลักษณะจะเป็นโครงการพิเศษเฉพาะกิจของรัฐบาล  ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี ไม่เกิน ๔๐ เดือน  กรอบงบประมาณไม่เกิน ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท ประมาณร้อยละ ๑๐ ของแผนงานฟื้นฟูฯ (ตาม พรก.กู้เงินโควิดรอบสอง) เมื่อเสร็จภารกิจหรือหมดเวลาตามกำหนดแล้วให้ยุบตัวลง
 
นายสังศิต เสนอให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงการคลังกำกับดูแลโครงการนี้  โดยมีสำนักงานบูรณาการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำและแก้ความยากจน ที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาแล้วโดยระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี (๒๕๖๓) เป็นกลไกดำเนินการ และมีองค์กรภาคี “ร่วมปฏิบัติการ” ที่หลากหลาย ทั้งภาครัฐ องค์การมหาชน  ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม เช่น

  • สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน(องค์การมหาชน)  สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(สช.) ศูนย์คุณธรรม(องค์การมหาชน)  
  • กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย  กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงวัฒนธรรม  
  • มูลนิธิพัฒนาไท  มูลนิธิพัฒนาประชาสังคม สมาคมองค์กรสาธารณประโยชน์  มูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา บริษัทประชารัฐรักสามัคคี(วิสาหกิจเพื่อสังคม)  เครือข่ายสภาประชาสังคมไทย เครือข่ายประชาสังคมจังหวัด เครือข่ายสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายชุมชนคุณธรรม เครือข่ายสภาวัฒนธรรม เครือข่ายธนาคารคลังสมอง

‘คาดว่าจะมีโครงการขององค์กรชุมชน ท้องถิ่นและภาคประชาสังคมที่ได้รับการสนับสนุนประมาณ 30,000 โครงการ  มีประชาชนและชุมชนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากวิฤติโควิด-19 ได้รับประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน’

‘ในระยะยะยาวจะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและสังคม(Resilience) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อันเป็นเป้าหมายสำคัญในยุทธศาสตร์ชาติและแผนปฏิรูปประเทศในหลายด้าน’ นายสังศิต กล่าวในที่สุด

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts