สนธยา : รู้สึกว่าหมาเริ่มก้าวร้าว ทั้งที่อุ้มชูมายาวนาน?…
สุชาติ : หมาถูกปล่อยวัดแล้ว จะยังเป็นหมาของคนๆ นี้อยู่เหรอ?
หลังจากที่ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น ส.ส.ชลบุรี พลังประชารัฐ ได้รับความไว้วางใจให้มา “รับนโยบาย” จาก “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ประธานยุทธศาสตร์พรรค “บิ๊กบราเธอร์”
ความร้าวฉานกับ “บิ๊กแป๊ะ” สนธยา คุณปลื้ม ก็เกิดขึ้น เพราะการเตรียมส่งผู้สมัคร ส.ส.เข้าชิงชัยในพื้นที่ถิ่นชลบุรี นั่นหมายถึงต้องชนะและห่ำหั่นกับเจ้าถิ่นเดิม คือตระกูล “คุณปลื้ม” แห่งพรรคพลังชลเดิม ที่ยึดพื้นที่แห่งนี้มานาน อาจจะต้องล่วง
17 ก.พ.2565 ‘สนธยา’ จึงต้องโวยลั่นถูกทรยศ หมาเริ่มก้าวร้าว ทั้งที่อุ้มชูมานาน..!!!
นายสนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา จึงโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า วันหยุดที่ผ่านมามีใครต่อใครเป็นห่วงเป็นใยโทรมาถามกันมากเรื่องเลือกตั้งทั่วไปว่ากลุ่มเรารักชลบุรีจะต้องสลายตัว เพราะพลังประชารัฐจะเลือกผู้สมัครมาลงเอง หลังจากผมไปคุยกับ “ผู้ใหญ่” มาแล้ว ก็ได้เวลาที่ผมพอจะมาเล่าสู่กันฟัง
ผมไม่เคยคิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน เพราะหลายปีก่อนก็ได้รับคำร้องขอให้ไปร่วมก่อตั้งพรรคพลังประชารัฐในสถานการณ์พิเศษในขณะนั้นเพื่อให้ประเทศเดินต่อไปได้ จนจู่ๆ ก็มีคนของพรรคประกาศว่าจะหาคนมาลง ส.ส.ทุกเขต
ในฐานะผู้ก่อตั้งพรรคจึงไม่ยากที่ผมจะสอบถาม “ผู้ใหญ่” ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่ต้น ผมได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า
“มันก็อยากจะสร้างอาณาจักร อย่าไปสนใจ”
เรื่องน่าจะจบแค่นั้น แต่ไม่ใช่ เพราะยังมีหลายอย่างที่น่าคิดโดยเฉพาะประโยคที่ว่า “อย่าไปสนใจ”
จริงๆ ผมก็พยายามไม่สนใจมานาน เพราะคอยแต่คิดว่าการที่คนๆ หนึ่งจะพูดเท็จหลายเรื่องในที่ต่างๆ เพื่อให้ตัวเองดูดีนั้นก็เห็นอยู่ดาดดื่น มีเพิ่มมาอีกคนก็ไม่แปลก
คล้ายกับเวลาหมาเห่า ถ้าไม่สร้างปัญหาร้ายอะไร เราก็ไม่ควรไปดุ เพราะหมาก็ทำตามสัญชาติญาณของหมา แต่คราวนี้ต่างไป เพราะผมเริ่มรู้สึกว่าหมาเริ่มก้าวร้าว ทั้งที่อุ้มชูมายาวนาน
คนชลบุรีรักใครรักจริง คบใครคบจริง เราเป็นแบบนี้กันมาตลอด นับญาติกันมาตั้งแต่เกิด แต่กับการทรยศ หักหลัง เราก็จะไม่นิ่งเฉย
18 ก.พ.2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น โพสต์บ้าง นิทานพงศาวดาร เรื่อง…
“ขุนศึกคู่กาย กับแม่ทัพอันไซเมอร์”
ขอเล่านิทานบ้างว่า นานมาแล้ว มีขุนศึกกับแม่ทัพ คู่นึง ขุนศึกรักเคารพ แม่ทัพเหมือนพี่คนนึง สั่งให้ไปรบไปที่ไหน ไม่เคยปฏิเสธ สู้ตายถวายหัวทุกสนามรบ แม้กระทั่งวันที่ไม่เหลือขุนศึกคนอื่นเลย ที่สำคัญส่วนใหญ่ขุนศึกคู่กายคนนี้ รบชนะทุกครั้ง
วันนึงขุนศึกคู่กาย ขอกลับมาดูแลครอบครัว และเรือกสวนไร่นาที่ทิ้งไปนาน เลยบอกแม่ทัพว่า ขอวางมือ… ปรากฎว่า 3 ปีที่แล้ว มีสงครามใหญ่ แม่ทัพเรียกขุนศึกคู่กาย มาพูดคุยด้วยว่า ขอให้มาช่วยกัน ถ้าแพ้ศึกครั้งนี้เค้าและครอบครัวจะไม่มีแผ่นดินอยู่
ด้วยความรักและเคารพในตัวแม่ทัพ ขุนศึกคู่กายยอมทิ้งลูกทิ้งเมีย ทิ้งไร่นาสวน มาร่วมรบอีกครั้ง โดยการรบครั้งนี้ แม่ทัพให้ขุนศึกรับผิดชอบ 3 หัวเมืองหลัก ที่เหลือเป็นหน้าที่แม่ทัพรับผิดชอบ
ก่อนออกรบแม่ทัพรับปากว่า ถ้าชนะศึกจะปูนบำเหน็จให้ กระทั่งผลออกมา พอรบเสร็จ ขุนศึกรบชนะทั้ง 3 หัวเมือง ส่วนแม่ทัพแพ้ราบคาบทุกหัวเมืองหลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ปรากฎว่า แม่ทัพเป็นอัลไซเมอร์ สิ่งที่รับปากไว้ลืมหมด รวมถึงเมื่อขุนศึกกลับบ้าน ไร่นา ครอบครัวเสียหาย แม่ทัพกลับไม่มีแม้แต่การเหลียวแล
ขุนศึกก็ต้องก้มหน้าดูแลตัวเองไป แต่เชื่อมั้ยว่า วันนึงสิ่งศักดิ์สิทธิมีจริง เจ้าเมือง มาเจอขุนศึกคนนี้ ซึ่งบาดแผลเพิ่งจะตกสะเก็ดจากการสู้รบ สืบทราบจากชาวบ้านว่าเป็นนักรบมีฝีมือ มีความซื่อสัตย์ สู้รบด้วยการไม่คิดถึงชีวิตตัวเองและครอบครัว จึงปูนบำเหน็จให้เป็น เสนาบดี เหตุนี้เอง ขุนศึกจึงทำงานตอบแทนเจ้าเมืองด้วยความซื่อสัตย์ ถวายหัว ผลงานเป็นที่ประจักษ์
ผมขอถามทุกท่านกลับไปว่า เป็นขุนศึกจะถวายหัวให้เจ้าเมืองที่เห็นคุณค่าในตัวขุนศึก หรือ แม่ทัพอัลไซเมอร์ ที่ไม่เห็นคุณค่า??? และที่สำคัญ #ขุนศึกผู้นี้ปลูกข้าวกินเองมาตลอด #ไม่ได้กินข้าวของแม่ทัพ เหมือนขุนศึกคนอื่นๆ
ส่วนการขยายอาณาจักร เอาตรงๆ วันนี้แม่ทัพท่านนั้น ก็ยังไม่แน่ชัดว่าจะย้ายเมืองไปขึ้นตรงกับเจ้าเมืองไหน??? หรือจะสร้างเมืองขึ้นเอง?? แล้วจะมาหาว่าผู้อื่นขยายอาณาจักรได้อย่างไร
เมื่อขุนศึกได้รับมอบหมายให้เตรียมการณ์จากเจ้าเมือง ก็ต้องเตรียมการณ์เพื่อให้พร้อม ทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมา
สุดท้ายนี้ ที่มีการพาดพิง เรื่องหมา .. ขอออกตัวก่อน “ผมไม่ใช่หมา” แต่อาจจะเป็นเหมือน นักรบคนในนิทาน แต่ที่ผ่านมาผมก็เลี้ยงหมานะ นิสัยของหมา คือ รักเจ้าของ รักลูกเจ้าของ วันนึง เจ้าของได้จากไป ก็ดูแลลูกเจ้าของ แต่ลูกเจ้าของไม่สนใจ แกล้งทุบตี
นิสัยหมามันก็ไม่เคยทิ้งเจ้าของ หรือลูกเจ้าของ มีแต่เจ้าของหรือลูกเจ้าของ เอาหมาไปปล่อยวัด วันนึงมีคนเก็บหมาตัวนี้ไปเลี้ยงดูแลเห็นคุณค่า ในความซื่อสัตย์ของหมาตัวนี้ แล้วยังจะมีใครคิดว่า หมาถูกปล่อยวัดแล้ว จะยังเป็นหมาของคนๆ นี้อยู่เหรอ ลองพิจารณาดูนะครับ??
ผู้สื่อข่าวถามว่า การโพสต์ไปมาแบบนี้เป็นการแตกหักกับบ้านใหญ่ชลบุรีใช่หรือไม่..?
นายสุชาติ กล่าวว่า เขาไม่ได้อยู่กับทางนี้อยู่แล้ว ส.ส.ชลบุรีรู้อยู่แล้วว่าฝั่งไหนเดินทับหาเสียงเขตเขาอยู่ ตนในฐานะ ผอ.พรรคพลังประชารัฐได้รับสั่งการจากหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐให้จัดผู้สมัครรับเลือกตั้งในครั้งหน้า ซึ่งได้มีการเจรจาไปยังฝั่งคนสนิทของเขาหลายคนว่าเอาอย่างไร แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จนระยะเวลาทอดยาว และมีเหตุการณ์ที่คนใกล้ตัวของเขามาเดินทับเขต ส.ส.ของพรรค ส.ส.จึงมีความรู้สึกที่ไม่มั่นคง ดังนั้น ต้องมีความชัดเจน
นายสุชาติ กล่าวอีกว่า จะทำงานถวายหัวให้กับคนที่ดูแลและชุบเลี้ยงตน และตนเคยช่วยเหลือดูแลถวายชีวิต ซึ่งมันจบไปแล้ว แต่เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เหมือนน้อง ไม่มีความคิดที่จะอะไรกับเขา แต่ครั้งนี้ไม่ทราบว่าเกิดเหตุจากคนใกล้ตัวหรือไม่ ไปพูดต่างๆ นานาจนเลยเถิดมาถึงขนาดนี้ เพราะตนไม่ได้ตั้งธงที่จะไปสู้รบกัน
“ผมคิดว่าทางการเมือง มันไม่ใช่ธุรกิจครอบครัวของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง มันเป็นเรื่องความศรัทธาของพี่น้องประชาชน ว่าจะเลือกใครเป็นผู้แทนของท่าน คือเสียงของประชาชน จะมาบอกว่าเราสร้างอาณาจักร อาณาจักรไม่ใช่ธุรกิจครอบครัว ถามว่า ความหมายอาณาจักรไปสร้างเพื่ออาณาจักรธุรกิจหรือ ผมสร้างอุดมการณ์ร่วมกันกับผู้นำ ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง เรารวมตัวกันด้วยการรักประเทศชาติบ้านเมือง”
นายสุชาติ กล่าวว่า เราไม่สามารถบังคับให้คนหลายๆ คนมาร่วมอุดมการณ์เดียวกันกับเราได้ ถ้าอุดมการณ์ไม่ตรงกัน และยืนยันว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่เล่านิทานให้ฟังเพื่อให้คิดว่า หากเป็นสื่อจะสู้ถวายหัวให้ใคร
ส่วนที่มีการเปรียบเปรยว่าตนเป็นหมา ยืนยันว่า ตนไม่ใช่หมา แต่ขอเป็นนักรบในนิทานแล้วกัน ขณะที่ตนก็เป็นคนเลี้ยงหมา หมานั้นรักเจ้าของ รักลูกเจ้าของ และไม่กัดเจ้าของ แต่พอเจ้าของได้จากไป ถามว่าลูกเจ้าของเลี้ยงหมาตัวนั้นอย่างไร อดอยาก ทุบตี ไม่ให้ความรัก อยู่ๆ ไปปล่อยวัด จะมาบอกว่า มีคนเอาหมาไปเลี้ยง แล้วว่าหมาตัวนั้นเนรคุณ มันไม่ใช่อยู่แล้ว เพราะตนไม่ใช่หมา ย้ำว่านิทานยังมีอีกหลายตอน ส่วนจะมีภาค 2 หรือไม่ ตนหยุดแล้ว แต่ถ้าเขาไม่หยุดก็มี
เมื่อถามถึงการวางตัวผู้สมัคร ส.ส.10 เขตของชลบุรี ในการเลือกตั้งครั้งหน้านั้น นายสุชาติ กล่าวว่า ได้วางตัวครบหมดแล้ว ตอนนี้รอเพียง นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งเว้นไว้ 1 ที่ เพราะ นายอิทธิพล กับตนเหมือนพี่น้องกัน
“ส่วนตัวไม่มีอะไรกัน ยืนยันว่า ความขัดแย้งกันในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องการวางผู้สมัคร ส.ส.ไม่ลงตัว เพราะเขาอาจจะมีทางที่จะไปก่อนหน้านี้แล้วตามข่าว ซึ่งไม่สามารถไปพูดแทนเขาได้ แต่การที่ไปทับเขต ส.ส.เดิมถือเป็นมารยาท”
ส่วนที่หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้สอบถามเรื่องนี้หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า หัวหน้าพรรคให้ตนทำตามภารกิจหน้าที่อยู่แล้ว ต้องดูแลในส่วนของผู้สมัคร หากตนไม่มีผู้สมัครเตรียมไว้เท่ากับบกพร่องในหน้าที่
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบ้านใหญ่ชลบุรีนั้น ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของเขตพื้นที่มากกว่าในทางการเมือง และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากหากความเห็นไม่ตรงกัน ก็ไม่ต้องพูดถึงกัน ต่างคนต่างอยู่คนละพรรค แข่งกันด้วยความศรัทธา แค่นั้นก็จบแล้ว
นายสุชาติ ยืนยันว่า ส.ส. ชลบุรี ของพรรคพลังประชารัฐทุกคนยังอยู่กับพรรคพลังประชารัฐ เพราะทุกคนสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีตามไปทางโน้นสักคน และคนที่เป็น ส.ส.เก่าจะถูกส่งลงสมัครทุกคนเช่นเดียวกัน ส่วนในเขตที่ไม่มี ส.ส เรามีตัวผู้สมัครเตรียมไว้แล้ว
ส่วนจะกลับมาทำงานด้วยกันได้อีกหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ในทางการเมืองถ้าด้วยจิตสำนึกที่คำนึงถึงบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องของส่วนตัว มาคุยได้หมดทุกอย่าง ตนเป็นน้อง ไม่ได้อยากมีปัญหากับพี่ๆ
ส่วนอยากเคลียร์หรืออยากคุยหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ไม่อยาก เพราะตนวางตัวผู้สมัครไว้หมดแล้ว จะได้พิสูจน์กันว่าพี่น้องชลบุรีจะได้มีการเปลี่ยนแปลง หรือจะเป็นการเมืองแบบเดิมๆ
สำหรับเส้นทางของ นายสุชาติ ชมกลิ่ม นั้น ที่ผ่านมา เคยสังกัดบ้านใหญ่ชลบุรี อยู่ภายใต้การดูแลของ นายสนธยา โดยนายสุชาติ ได้เริ่มเล่นการเมือง ด้วยการลงสนามท้องถิ่น ตอนอายุ 26 ปี ได้นั่งเก้าอี้สมาชิกเทศมนตรี (ส.ท.) แสนสุข ก่อนก้าวขึ้นเป็น ส.จ.อ่างศิลา
ส่วนการเมืองสนามใหญ่ เป็น ส.ส.สมัยแรก ปี 2554 ในนาม “พรรคพลังชล” และลงสมัคร ส.ส. ปี 2557 ชนะการเลือกตั้ง แต่เป็นโมฆะ เพราะเกิดวิกฤติการเมือง จากนั้นก็ย้ายมาอยู่พรรคพลังประชารัฐ ได้เป็น ส.ส.สมัยที่ 2 ในการเลือกตั้งปี 2562
ทั้งนี้ การเข้าพรรคพลังประชารัฐ ของกลุ่มชลบุรี ได้มีโควต้ารัฐมนตรีว่าการ 1 ตำแหน่ง ซึ่งตกเป็นของ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม จึงเริ่มเป็นชนวนความขัดแย้งภายในกลุ่ม เพราะนายสุชาติ อยากเลื่อนชั้น จึงหันไปเดินสายกับ นายวิรัช รัตนเศรษฐ อดีตประธานวิปรัฐบาล จนนายสุชาติ ก็ก้าวกระโดดมานั่ง รมว.แรงงาน ได้สำเร็จ
ก่อนขัดแย้งกันภายหลัง จึงทำให้กลุ่มชลบุรี มีรัฐมนตรีถึง 2 คน แต่ นายสุชาติ ก็เริ่มปฎิเสธว่า อยู่กลุ่มชลฯ เพราะต้องการจะสร้างขุมกำลังตัวเอง
ต่อมาเมื่อ พรรคพลังประชารัฐ มีมติขับ 21 ส.ส.กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากพรรค นายสุชาติ ได้รับตำแหน่ง ผอ.พรรค ก็ได้มีความพยายามวางตัวผู้สมัคร ส.ส. จึงเป็นชนวนเหตุให้ “บ้านใหญ่ชลบุรี” ที่ไม่รู้เรื่อง จึงไม่พอใจ และนายสนธยา ได้ออกมาโพสต์ทำนองว่า “ถูกเด็กในบ้านหักหลัง”