นักลงทุน-ต่างชาติเชื่อมั่น ระบุ พรรคร่วมไม่กล้ากดดัน ข่มขู่ ถอนตัว เชื่อ พท. ดึง กก.ร่วมแน่ ก่อนเลือกตั้ง!!
นายพูลเดช กรรณิการ์ นักวิชาการอิสระ และนักวิเคราะห์การเมือง อดีตที่ปรึกษาการเมือง นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ให้ความเห็นถึงรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมาก เพราะมีเสียงในสภาผู้แทนฯ ถึง 314 เสียง จากจำนวน ส.ส.ในสภาผู้แทนฯ 500 เสียง โดยเกินกึ่งหนึ่งคือ 250 เสียง ถึง 64 เสียง ขณะที่เสียงของฝ่ายค้านรวมกันมีเพียง 186 เสียง ซึ่งการที่รัฐบาลมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งถึง 64 เสียง ย่อมเป็นหลักประกันว่า รัฐบาลจะสามารถผ่านกฎหมายต่างๆในสภาผู้แทนฯ ได้อย่างราบรื่น ขณะที่ในสภาสูงหรือวุฒิสภาก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาเช่นกัน วุฒิสภาน่าจะสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลในสภาด้วยดี เพราะวุฒิสภาเองได้โหวตให้ความเห็นชอบ นายเศรษฐา ทวีสิน ให้เป็นนายกฯอย่างท่วมท้นมาแล้ว
“เสียงในสภาที่มากขนาดนี้ จะทำให้ภาคธุรกิจ นักลงทุน และต่างประเทศ มีความเชื่อมั่นต่อเสถียรภาพและความมั่นคงของรัฐบาล ดังนั้น ปัจจัยการเมือง หรือปัจจัยเสถียรภาพของรัฐบาล จะไม่เป็นปัจจัยลบหรือเป็นอุปสรรคของนักธุรกิจ นักลงทุน และต่างประเทศ อีกต่อไป โดยจะเป็นปัจจัยบวกต่อรัฐบาลในสายตานักลงทุนและต่างชาติ”
นายพูลเดช ให้ความเห็นต่อไปว่า นอกจากนี้ รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ยังยากจะสะดุดขาตัวเองล้ม หรือยากจะมีปัญหาภายในรัฐบาลอันเกิดจากพรรคร่วม จนทำให้รัฐบาลล้มลง ดังเช่นรัฐบาลผสมในอดีตที่มักล้มลงเพราะมีปัญหากับพรรคร่วม และพรรคร่วมถอนตัว เพราะ 314 เสียงของรัฐบาลมาจาก 11 พรรค และใน 11 พรรค มีทั้งพรรคใหญ่ พรรคกลางใหญ่ พรรคกลางเล็ก จนถึงพรรคเล็กอีกจำนวนมาก ประกอบด้วย พรรคแกนนำซึ่งเป็นพรรคใหญ่ คือพรรคเพื่อไทย (141 ที่นั่ง) พรรคขนาดกลางใหญ่ คือพรรคภูมิใจไทย (71 ที่นั่ง) พรรคขนาดกลางเล็ก 2 พรรค คือพรรคพลังประชารัฐ (40 เสียง) พรรครวมไทยสร้างชาติ (36 ที่นั่ง) และพรรคขนาดเล็กหลายพรรค คือพรรคชาติไทยพัฒนา (10 ที่นั่ง) พรรคประชาชาติ (9 ที่นั่ง) พรรคชาติพัฒนากล้า (2 ที่นั่ง) พรรคเพื่อไทรวมพลัง (2 ที่นั่ง) พรรคเสรีรวมไทย (1 ที่นั่ง) พรรคพลังสังคมใหม่ (1 ที่นั่ง) พรรคท้องที่ไทย (1 ที่นั่ง)
“การที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคใหญ่พรรคเดียว และมีพรรคร่วมที่มีจำนวน ส.ส. มากน้อยแตกต่างกันมาก ส่งผลดีต่อรัฐบาลคือ ไม่มีพรรคใดมีเสียงมากพอที่จะกดดันหรือก่อปัญหาภายในรัฐบาลได้ เพราะเสียงที่เกินกึ่งหนึ่งถึง 64 เสียง ถือว่ามาก คงไม่มีพรรคใดคิดจะกดดัน ข่มขู่หรือถอนตัว เพื่อทำให้รัฐบาลล้ม เว้นแต่พรรคภูมิใจไทยพรรคเดียวที่มี 71 เสียง ที่จะทำให้รัฐบาลล้มได้ในทางทฤษฎี แต่ในความเป็นจริง พรรคเพื่อไทยยังมีอะไหล่ที่พร้อมร่วมรัฐบาลอยู่อีกหนึ่งพรรคที่สามารถเข้ามาทดแทนภูมิใจไทยได้ คือ ประชาธิปัตย์ ดังนั้น นอกจากพรรคร่วมจะกดดันพรรคเพื่อไทยไม่ได้แล้ว พรรคเพื่อไทยต่างหากที่จะกดดันพรรคร่วมได้ เพราะหากวันใดพรรคเพื่อไทยเห็นว่าพรรคร่วมพรรคใดมีปัญหามาก ก็อาจเขี่ยออกจากรัฐบาลได้โดยไม่ต้องกังวลอะไรว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ได้”
“นอกจากนี้ เมื่อมองจากการจัดสรรกระทรวงและตำแหน่งให้กับพรรคร่วม จะเห็นว่า พรรคเพื่อไทยเสียสละและให้ใจพรรคร่วมสุดๆ โดยยกกระทรวงสำคัญให้กับพรรคร่วม เช่น ยกกระทรวงมหาดไทยให้ภูมิใจไทย ยกกระทรวงพลังงานให้รวมไทยสร้างชาติ ยกกระทรวงเกษตรฯให้กับพลังประชารัฐ ซึ่งล้วนเป็นกระทรวงเกรดเอทั้งนั้น การยอมยกกระทรวงสำคัญให้กับพรรคร่วมทั้ง 3 พรรค ซึ่งเป็นพรรคขนาดกลางทั้งหมด ถือเป็นการ ซื้อใจ ไว้ทั้งหมด และยังเป็นการป้องกันมิให้พรรคขนาดกลางทั้ง 3 พรรคนี้ รวมตัวกัน กดดันหรือข่มขู่รัฐบาล เพราะแต่ละพรรคคงไม่อยากเสี่ยงถูกเขี่ยออกจากรัฐบาล และสูญเสียกระทรวงเกรดเอที่ได้รับ”
นายพูลเดช วิเคราะห์ต่อไปว่า นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังมีไพ่ใบสำคัญอยู่ในมืออีกใบหนึ่ง คือ พรรคก้าวไกล ซึ่งแม้วันนี้จะเดินคนละทางกับเพื่อไทย เนื่องจากถูกเกมบังคับปมหลายพรรคและ ส.ว.ไม่เอาก้าวไกล แต่เชื่อว่าอนาคตข้างหน้า มีความเป็นไปได้มากทีเดียวที่พรรคเพื่อไทย อาจดึงพรรคก้าวไกลเข้าร่วมรัฐบาล อาจเป็นช่วง 2 ปีหลังของรัฐบาล ทั้งนี้เพื่อทำให้พรรคเพื่อไทยพลิกตัวกลับไปอยู่ในซีกประชาธิปไตยเหมือนเดิม ก่อนการเลือกตั้งครั้งใหม่ ซึ่งถึงตอนนั้น หากเพื่อไทยดึงก้าวไกลร่วมรัฐบาล แล้วทำให้พรรคร่วมอย่างรวมไทยสร้างชาติหรือพลังประชารัฐถอนตัว หรือพรรคอื่นถอนตัว รัฐบาลก็อยู่ต่อได้ เพราะเสียงของก้าวไกลมีถึงเกือบ 150 เสียง
#พูลเดชกรรณิการ์