“…จีนก้าวหน้ามาเรื่อยๆ ไม่วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ แบบ “วนในอ่าง” ดังที่เป็นอยู่ในประเทศไทยและหลายต่อหลายประเทศ ในประเทศไทย ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลโดยการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร กลุ่มคณะบุคคลเหล่านั้นต่างพากันสาละวนอยู่กับการจัดสรรประโยชน์ระหว่างกลุ่มเก่ากับกลุ่มใหม่ ไม่ได้แตะต้องถึงการปฏิรูประบบให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและความเรียกร้องต้องการโดยรวมของประเทศชาติประชาชนเลย ทำให้การขับเคลื่อนของประเทศไทยเป็นไปแบบสะเปะสะปะ วนเวียนอยู่กับปัญหาน้ำเน่าเดิมๆ มองไม่เห็นอนาคต ไทยจำเป็นจะต้องแก้ปัญหาปมเงื่อนนี้ให้ตกไป หัวใจก็คือการขาดองค์กรระดับชาติที่สามารถรวมกำลังทุกฝ่ายทำงานใหญ่ อันเป็นกลไกให้เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ สร้างความผาสุกให้แก่ประชาชนได้อย่างไม่หยุดหย่อนและแบบ “ไม่มีฉัน” จริงๆ อะไรที่เราเห็นกระบวนการขับเคลื่อนที่ดำเนินไปอย่างเป็นระบบระเบียบในประเทศจีนวันนี้ เราก็จะเห็นได้ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน นั่นคือสามารถรวมกำลังทุกฝ่ายทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้เสมอ…”
รวมศูนย์กำลังทำงานใหญ่ 集中力量办大事
ความขัดแย้งหลักของประเทศไทยวันนี้ก็คือความขัดแย้งระหว่างความต้องการก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองระดับใหม่ของประเทศชาติ ประชาชนกับระบบบริหารประเทศที่ไม่เอื้อต่อการขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความเจริญระดับใหม่นี้
หัวใจก็คือการขาดองค์กรระดับชาติที่สามารถรวมกำลังทุกฝ่ายทำงานใหญ่
ประเทศจีนมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นองค์อำนาจกำหนดสูงสุด สามารถระดมความร่วมมือจากทุกฝ่ายแก้ปัญหาและเดินหน้าพัฒนาประเทศได้ตามขั้นตอนการปรากฏของความขัดแย้งหลัก นี่คือเหตุผลที่ว่าเหตุไฉนจีนจึงก้าวหน้ามาเรื่อยๆ ไม่วนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆแบบ”วนในอ่าง”ดังที่เป็นอยู่ในประเทศไทยและหลายต่อหลายประเทศ โดยมองไม่เห็นทางออก
ในประเทศไทย ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงคณะรัฐบาลโดยการเลือกตั้งหรือรัฐประหาร กลุ่มคณะบุคคลเหล่านั้นต่างพากันสาละวนอยู่กับการจัดสรรประโยชน์ระหว่างกลุ่มเก่ากับกลุ่มใหม่ ไม่ได้แตะต้องถึงการปฏิรูประบบให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและความเรียกร้องต้องการโดยรวมของประเทศชาติประชาชนเลย ทำให้การขับเคลื่อนของประเทศไทยเป็นไปแบบสะเปะสะปะ วนเวียนอยู่กับปัญหาน้ำเน่าเดิมๆ มองไม่เห็นอนาคต
ซึ่งเมื่อเทียบกับการขับเคลื่อนของจีนและอีกหลายๆประเทศที่ปรับตัวเองได้บ้างแล้ว เช่นเวียดนาม อินโดนีเซีย ที่กำลังดำเนินนโยบายไปในทิศทางเดียวกับจีนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เราจึงตกอยู่ในฐานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ทั้งนี้ผู้เขียนก็ไม่คิดว่าประเทศไทยจะต้องเดินตามใคร การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นนี้ จะตั้งอยู่บนฐานความรับรู้ร่วมกันของทุกฝ่าย ทุกระดับ เชื่อมโยงกันเข้าด้วยวิธีการและภูมิปัญญาสูงสุดของเราเอง โดยทั้งหมดของกระบวนการจะดำเนินไปด้วยความสมัครใจของทุกฝ่าย
ทั้งหมดนี้ หัวใจจึงอยู่ที่ความเข้าใจที่ตรงกันว่า ประเทศไทยจำเป็นจะต้องแก้ปัญหาปมเงื่อนนี้ให้ตกไป ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายทุกระดับชั้นที่”เห็น”ร่วมกัน โดยถือเอาชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
ทั้งนี้ทุกฝ่ายที่เห็นร่วมกันต้องยินดีที่จะย้ายตัวเองออกจากกลุ่มพรรคการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆมายืนอยู่บนฐานแห่งความเป็นสหกัลยาณมิตรระดับชาติ ที่เชื่อมโยงกันเข้าเป็นเครือข่ายครอบคลุมไปทั่วทุกหย่อมหญ้าของประเทศไทย
“ขบวนการสหกัลยาณมิตรแห่งประเทศไทย” ชื่อนี้ก็จะกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นหนึ่งเดียวกันของคนไทยทุกฝ่ายทุกระดับทุกชาติพันธุ์ มีจุดมุ่งหมายร่วมกัน พร้อมคัดสรรคนดีคนเก่งขึ้นทำหน้าที่บริหารในทุกระดับทุกด้านทั่วประเทศ เดินหน้าปฏิรูประบบ กลไกให้เอื้อต่อการพัฒนาประเทศ สร้างความผาสุกให้แก่ประชาชนได้อย่างไม่หยุดหย่อนและแบบ “ไม่มีฉัน” จริงๆ
การแก้ไขความขัดแย้งหลักได้ทีละเปลาะๆ ก็หมายถึงความก้าวหน้าของประเทศไทยที่จะดำเนินไปได้ทีละขั้นๆ หลุดจากวงจรเก่าๆ เข้าสู่วงจรใหม่ๆที่สูงขึ้น ก้าวหน้ายิ่งขึ้นได้อย่างไม่หยุดหย่อน
อะไรที่เราเห็นกระบวนการขับเคลื่อนที่ดำเนินไปอย่างเป็นระบบระเบียบในประเทศจีนวันนี้ เราก็จะเห็นได้ในประเทศไทยเช่นเดียวกัน เนื่องเพราะเราสามารถใช้เครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพในลักษณะเดียวกันได้เช่นเดียวกัน นั่นคือสามารถรวมกำลังทุกฝ่ายทำงานใหญ่ให้สำเร็จได้เสมอ