“…การพบปะเจรจากันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ในไทยก็ยังคงเป็นการขับเคี่ยวกันทางการทูต เพื่อต่อรองกันในเรื่องต่างๆ ที่กำลังร้อนแรง ในลักษณะที่ฝ่ายจีนเป็นฝ่ายรุกทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การทหารและเทคโนโลยีและฝ่ายสหรัฐฯ พยายามสกัด ซึ่งที่ผ่านมาก็สกัดไม่อยู่ มาครั้งนี้ สหรัฐฯ ก็ต้องถอยอีก โดยเฉพาะปัญหาไต้หวัน เมื่อจีนเจาะจงให้สหรัฐฯ สนับสนุนจีนรวมไต้หวันอย่างสันติ โดยสหรัฐฯ ไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธ เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่สหรัฐฯ ต้องการจากจีน เมื่อสหรัฐฯ แสดงท่าทีไม่ปฏิเสธ ประเทศอื่นทั่วโลกก็ง่ายที่จะสนับสนุนให้จีนรวมไต้หวันอย่างสันติ คงไม่มีประเทศใดต้องการสงครามมิใช่หรือ ?…”
ไว้ใจได้ประโยชน์ 互信互惠
ก่อนเข้าเรื่องผู้เขียนของแสดงความในใจเล็กน้อยว่า ในห้วงประวัติศาสตร์เฉพาะหน้านี้ สังคมมนุษย์กำลังอยู่ในท่ามกลางกระบวนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่ดำเนินไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าห้วงใดๆ การมองปัญหาจึงต้องมองเห็นความจริงทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยพยายามมองให้เห็นอย่างรอบด้านที่สุดเท่าที่จะทำได้
ปัญหาคือ แล้วจะมองไปทำไม? เพื่ออะไร ?
คำตอบคือ เพื่อที่เราจะสามารถก้าวเดินไปสู่อนาคตได้ดีที่สุด
ประเทศไทยเราก็เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ต้องปรับตัวเองให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ความไม่รู้ไม่เข้าใจในความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นและการมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น คือความผิดพลาดมหันต์ที่คนไทยทุกคนต้องสำนึกและตระหนัก
ด้วยเหตุนี้ การยกระดับความรับรู้ของสังคมไทยโดยรวมจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ไม่เพียงภาครัฐเท่านั้นที่จะต้องทำ ภาคเอกชนหรือกระทั่งปัจเจกบุคคลอย่างเราๆก็ต้องช่วยกันทำ
เมื่อนั้นสังคมไทยที่เป็นสังคมแห่งปัญญาก็จะปรากฏ
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา มหกรรมการเมืองระหว่างประเทศที่ดำเนินไปในใจกลาง กรุงเทพมหานครกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก ไม่เพียงเพราะการพบปะเจรจากันแบบมาราธอนระหว่าง “หวังอี้” กับ “เจคซัลลิแวน” เท่านั้น แต่ยังเป็นการประกาศแก่ทั้งโลกถึงความไว้เนื้อเชื่อใจกันระหว่างไทยกับจีนอีกด้วย
การพบปะเจรจากันระหว่างจีนกับสหรัฐฯ โดยพื้นฐานแล้วก็ยังคงเป็นการขับเคี่ยวกันทางการทูต เพื่อต่อรองกันในเรื่องต่างๆที่กำลังร้อนแรง สำหรับเดินเกมการขับเคี่ยวในขั้นต่อไป ในลักษณะที่ฝ่ายจีนเป็นฝ่ายรุกทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การทหารและเทคโนโลยีและฝ่ายสหรัฐฯพยายามสกัด ซึ่งที่ผ่านมาก็สกัดไม่อยู่
มาครั้งนี้ สหรัฐฯ ก็ต้องถอยอีก โดยเฉพาะปัญหาไต้หวัน เมื่อจีนเจาะจงให้สหรัฐฯ สนับสนุนจีนรวมไต้หวันอย่างสันติ โดยสหรัฐฯ ไม่ได้แสดงท่าทีปฏิเสธ เพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่สหรัฐฯต้องการจากจีน
ดังที่ผู้เขียนได้ชี้ให้เห็นแล้วว่า จีนจะใช้จุดอ่อนของสหรัฐฯบนเวทีโลกเปิดทางไปสู่การรวมไต้หวันอย่างสันติ เมื่อสหรัฐฯแสดงท่าทีไม่ปฏิเสธ ประเทศอื่นทั่วโลกก็ง่ายที่จะสนับสนุนให้จีนรวมไต้หวันอย่างสันติ
คงไม่มีประเทศใดต้องการสงครามมิใช่หรือ ?
ความจริงแล้วสหรัฐฯ ต้องการให้จีนทำสงครามกับไต้หวัน เพื่อดึงจีนให้ตกหลุมเหมือนที่ดึงรัสเซียเข้าสู่สงครามกับยูเครน แล้วโลกตะวันตกก็จะพากันสุมไฟให้ไต้หวันสู้กับจีน ลดทอนกำลังของจีน และทำลายความมุ่งมั่นของจีนที่จะสร้างอนาคตร่วมกันกับคนทั้งโลก
แต่จีนไม่มีวันตกหลุมพราง และไม่ยอมตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ ตรงกันข้ามกลับใช้วิกฤตเป็นโอกาส พลิกแพลงวิธีการหันมาใช้ “สันติภาพ” เป็นอาวุธจี้ให้สหรัฐฯ สนับสนุนการรวมไต้หวันอย่างสันติ
ผู้เขียนไม่คิดว่าสหรัฐฯ จะยกมือสนับสนุนเป็นชาติแรก แต่ประเทศอื่นๆที่เป็นมิตรกับจีนจะพากันยกมือสนับสนุน เฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครั้งที่ที่ประชุมใหญ่องค์การสหประชาชาติมีมติให้จีนเข้าไปนั่งแทนที่ไต้หวัน ในฐานะตัวแทนของประเทศจีนแต่เพียงหนึ่งเดียว ซึ่งบรรยากาศครั้งนั้นเต็มไปด้วยเสียงปรบมือไชโยโห่ร้องอย่างครื้นเครง
สำหรับการลงนามข้อตกลงให้คนไทยและจีนสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างเสรีโดยไม่ต้องขอวีซ่านั้น สะท้อนถึงความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้น และเล็งเห็นข้อดีที่จะเกิดแก่ทั้งสองฝ่ายชัดเจนยิ่งขึ้นอีกขั้นหนึ่ง นับเป็นการปูพื้นฐานความสัมพันธ์ไปสู่อนาคตอันยาวไกลได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดครั้งหนึ่ง
คาดว่าความไว้เนื้อเชื่อใจกันในลักษณะนี้จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และครอบคลุมไปยังด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการพัฒนาบุคลากรที่รับผิดชอบในการขับเคลื่อนประเทศชาติไปสู่อนาคต ที่จะต้องแม่นยำอย่างยิ่งในการตัดสินใจ โดยไม่ติดอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ สามารถนำพาประเทศไทยก้าวไปได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่จีนบุกเบิก
ไขคำจีน