“…สิ่งหนึ่งที่ “สี จิ้นผิง” จับมั่นก็คือการนวัตกรรมความคิดทฤษฎีใหม่ๆขึ้นมาชี้นำการขับเคลื่อนประเทศจีนไปสู่อนาคต เพราะทันทีที่รับไม้ต่อจาก “หู จิ่นเทา” เขาก็ดำเนินการปฏิรูปการบริหารภายในพรรคอย่างกว้างขวางแบบสายฟ้าแลบ ชำระล้างเจ้าหน้าที่ของพรรคที่ประพฤติมิชอบออกจากระบบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ด้วยคำขวัญ “เมื่อจะตีเหล็กตัวเองก็ต้องแข็งแกร่ง” พร้อมกับนำเสนอทฤษฎี “การปฏิวัติตนเอง” ขึ้นมาชี้นำการปฏิรูปภายในพรรค การชำระสิ่งหมักหมมปฏิกูลออกจากพรรค เปิดทางให้แก่การขับเคลื่อนประเทศจีนเข้าสู่ยุคใหม่ และทะยอยนำเสนอแนวคิดทฤษฎีใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่นการสร้างความทันสมัยแบบจีน การสร้างสังคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน การพัฒนาที่มีคุณภาพสูง และล่าสุดก็คือการสร้างพลังการผลิตคุณภาพใหม่ ทำให้จีนกำลังทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วทั่วทุกด้าน…”
สายธารทฤษฎี 理论长河
ผู้เขียนสนใจติดตามทำความเข้าใจการใช้ทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาโดยตลอด พบว่าพวกเขาแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับพรรคการเมืองอื่นๆ ตรงที่ยึดมั่นในหลักปฏิบัติ “หาสัจจะจากความเป็นจริง”(实事求是)อย่างเหนียวแน่น
“สัจจะ” ที่ว่าก็คือแก่นแท้ของสิ่งของเรื่องราวที่เรากำลังทำอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิ่งที่ยังไม่มีใครเคยให้คำตอบได้อย่างถูกต้อง ซึ่งความถูกต้องที่ว่านั้น จะต้องได้รับการพิสูจน์จากผลการปฏิบัติที่เป็นจริง
ด้วยเหตุนี้ การทำงานของพรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงมีระบบและกระบวนการที่ชัดเจน ไม่สับสน นั่นคือทุกอย่างเริ่มจากการปฏิบัติที่เป็นจริง และเข้าถึงแก่นแท้ของความเป็นจริง จับปมเงื่อนของปัญหา แล้วเดินหน้าระดมสรรพกำลังแก้ปัญหาให้ตกไป
นี่คือคำตอบที่ว่า ทำไมพรรคจีน รัฐบาลจีนจึงประสบความสำเร็จในการบริหารและพัฒนาประเทศมาโดยตลอด
“เหมา เจ๋อตง” คือผู้เริ่มนำเอาหลักวิธีนี้มาใช้ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิวัติ โดยสามารถอธิบายถึงแก่นแท้ของการปฏิวัติประเทศจีนว่าคือการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประเทศจีนให้เป็นอิสระจากอำนาจครอบงำเดิมๆทั้งจากในและต่างประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายที่รักชาติรักประชาธิปไตยทำการเคลื่อนไหวต่อสู้
จากนนั้นเหมาเจ๋อตงได้สรุปเป็นกรอบความเข้าใจ(概念)ว่าการปฏิวัติของจีนเป็นการปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตย แล้วยกขึ้นเป็นทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ จนกระทั่งประสบความสำเร็จ ได้รับชัยชนะในที่สุด
ทฤษฎีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในท่ามกลางการเคลื่อนไหว ปฏิบัติแล้วหันกลับมาชี้นำการปฏิบัติต่อไปนั้น ในยุคของเหมาเจ๋อตงมีอยู่มากมาย เช่นทฤษฎีสงครามประชาชน ทฤษฎีการสร้างแนวร่วม ทฤษฎีการสร้างกองทัพ เป็นต้น
ในยุคของ เติ้ง เสี่ยวผิง ทฤษฎีสำคัญก็มีเช่นทฤษฎีว่าด้วยระบอบสังคมนิยมอัตลักษณ์จีน ทฤษฎีระบบเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม ทฤษฎีการปฏิรูปและเปิดกว้าง เป็นต้น
ทุกครั้งที่มีการนำเสนอทฤษฎีใหม่ ทั่วทั้งพรรคและหน่วยงานภาครัฐทุกระดับจะขมีขมันศึกษาทำความเข้าใจแล้วกำหนดแนวทางปฏิบัติของตัวเองขึ้นมา และลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง จนได้ข้อสรุปจากผลงานที่เป็นจริง สะท้อนขึ้นสู่หน่วยงานเบื้องบน แล้วประมวลผลเชิงสถิติ และข้อสรุปเชิงบูรณาการ สำหรับประเมินความถูกต้องของทฤษฎีต่อไป
กล่าวได้ว่า ทั้งความคิด เหมา เจ๋อตง และทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิงได้พิสูจน์ชัดแล้วถึงความถูกต้อง สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศจีนได้สำเร็จ
เมื่อจีนก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ สิ่งหนึ่งที่ สี จิ้นผิง จับมั่นก็คือการนวัตกรรมความคิดทฤษฎีใหม่ๆ ขึ้นมาชี้นำการขับเคลื่อนประเทศจีนไปสู่อนาคต จึงปรากฏว่าทันทีที่รับไม้ต่อจากหู จิ่นเทา เขาก็ดำเนินการปฏิรูปการบริหารภายในพรรคอย่างกว้างขวางแบบสายฟ้าแลบ ชำระล้างเจ้าหน้าที่ของพรรคและรัฐที่ประพฤติมิชอบออกจากระบบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ด้วยคำขวัญ”เมื่อจะตีเหล็กตัวเองก็ต้องแข็งแกร่ง”(打铁得自身硬)พร้อมกับนำเสนอทฤษฎี “การปฏิวัติตนเอง”(自我革命)ขึ้นมาชี้นำการปฏิรูปภายในพรรค
การชำระสิ่งหมักหมมปฏิกูลออกจากพรรคเปิดทางให้แก่การขับเคลื่อนประเทศจีนเข้าสู่ยุคใหม่ ซึ่ง สี จิ้นผิงไม่ยอมเสียเวลาด้วยการทะยอยนำเสนอแนวคิดทฤษฎีใหม่ๆออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่นการสร้างความทันสมัยแบบจีน การสร้างสังคมโลกที่มีอนาคตร่วมกัน การพัฒนาที่มีคุณภาพสูง และล่าสุดก็คือการสร้างพลังการผลิตคุณภาพใหม่
การติดตามการเกิดขึ้นของทฤษฎีจีนยุคใหม่ ไม่เพียงเพื่อความเข้าใจจีนในวันนี้และวันหน้าเท่านั้น แต่เพื่อให้มองเห็นทิศทางที่โลกจะเป็นไปด้วย ซึ่งแน่นอนที่สุด ประเทศไทยของเราก็อยู่ในนั้นด้วย
คงจะไม่เกินความจริงนัก ถ้าเราจะบอกว่า ณ วันนี้ ในห้วงที่จีนกำลังทะยานขึ้นอย่างรวดเร็วและทั่วทุกด้าน ความเข้าใจในสิ่งที่จีนกำลังเป็นไป จะทำให้เราเข้าใจด้วยว่า โลกจะเป็นไปแบบไหน? อย่างไร? และไทยเราจะเป็นไปแบบไหน? อย่างไร?
เพราะจีนมีทั้งวิธีการเข้าถึงสัจธรรมและวิธีการพิสูจน์ความถูกต้องของสัจธรรมได้ดียิ่งกว่ากลุ่มอำนาจใดในโลกนี้
ไขคำจีน