นักลงทุนจีน ปักหมุดลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรม supply chain ชิ้นส่วนยานยนต์ EV และกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงาน ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค ขณะที่การก่อสร้างโครงการคืบหน้ากว่า 82.55% เชื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ สร้างเศรษฐกิจชุมชน เพิ่มรายได้ประชาชนในพื้นที่
นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันการก่อสร้างโครงการนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค (Smart Park) มีความก้าวหน้ากว่า 82.55% (ณ 18 มี.ค. 2567) และมีนักลงทุนสนใจเข้ามาลงทุนจากหลายประเทศ หลังจากที่ กนอ. มีการโรดโชว์ โดยล่าสุดกลุ่มนักลงทุนจากประเทศจีนแสดงความสนใจที่จะเช่าที่ดินแปลงใหญ่ในนิคมฯ เพื่อประกอบกิจการในกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (New S-Curve) เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
ผู้ว่าการ กนอ. กล่าวอีกว่า ตนได้พูดคุยกับกลุ่มนักลงทุนชาวจีนที่สนใจจะลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 มี.ค.67) และได้มอบหมายให้กองการตลาดของ กนอ. พานักลงทุนกลุ่มนี้ลงพื้นที่ไปดูพื้นที่จริงที่นิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค ซึ่งทางนักลงทุนชาวจีนได้ให้ความสนใจอย่างมากในการเช่าพื้นที่แบบเหมาแปลงทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างการเก็บข้อมูลเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของการดำเนินธุรกิจ (Feasibility Study) ซึ่งจะมีการประชุมหารือร่วมกับ กนอ. ในรายละเอียดต่อไป
สำหรับโครงการนิคมอุตสาหกรรมสมาร์ท ปาร์ค ตั้งอยู่ในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง มีพื้นที่โครงการ 1,383.71 ไร่ ถือเป็นนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ที่ก้าวข้ามการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในพื้นฐานเดิม โดยมีกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ กลุ่มอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ (Aviation & Logistics) กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์ (Medical Device) กลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ (Robotics) และกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล (Digital) เพื่อเสริมสร้างความเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่ทันสมัย ปลอดภัย ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมและชุมชนโดยรอบ ภายใต้แนวคิดนิคมอุตสาหกรรมที่มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ตามนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ต้องบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 ทั้งนี้ หลังจากก่อสร้างแล้วเสร็จ และดำเนินโครงการแล้ว จะเกิดการจ้างงานประมาณ 7,459 คน มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจพื้นที่ประมาณ 1,342 ล้านบาทต่อปี และยังสามารถสร้างเศรษฐกิจชุมชน ช่วยเพิ่มรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่อีกด้วย คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ตามแผนที่วางไว้ในปี 2567