วันเสาร์, กันยายน 28, 2024
หน้าแรกต่างประเทศจีนหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ปาฏิหาริย์แห่งเอเชีย-แปซิฟิกยุคใหม่

Related Posts

หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ปาฏิหาริย์แห่งเอเชีย-แปซิฟิกยุคใหม่

ในงานสัมมนา “หนึ่งทศวรรษของหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง  ร่วมสร้างโชคชะตาร่วมกันเอเชีย-แปซิฟิก” ซึ่งจัดโดยศูนย์วิจัยหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางไทย-จีน  และศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน  เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 ณ หอประชุมอาคารอเนกประสงค์  สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ  วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร  รศ.ดร.โภคิน พลกุล  นายกสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีน  ได้กล่าวในช่วงเวทีเสวนาหัวข้อ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางกับปาฏิหาริย์แห่งเอเชีย-แปซิฟิกในยุคสมัยใหม่” สรุปความว่า

เมื่อจีนเปลี่ยนแปลงเป็น “จีนใหม่” ในปี 1949 นั้นจีนต้องเผชิญกับอะไรและตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร  มีหลักการและวิธีการเพื่อบรรลุเป้าหมายอย่างไร

เราจะพบว่าตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ จีนเน้นเรื่องความเท่าเทียม ความอยู่ดีกินดี การจะต้องไม่มีคนจน  ในปี 2025 จีนจะต้องพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง  นี่คือเป้าหมายที่จีนวางเอาไว้  ถามว่าเพื่อจะถึงเป้าหมายเขาจะต้องทำอะไรบ้าง

ประการแรกจีนเป็นคอมมิวนิสต์  เขาใช้ลัทธิมาร์กซ์-เลนินนิสม์  จุดแข็งของจีนคือพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่บริหารประเทศอย่างต่อเนื่องนับแต่ปี 1949 ภายใต้ผู้นำ 5 ท่าน ตั้งแต่เหมา เจ๋อตุง  เติ้ง เสี่ยวผิง  เจียง  เจ๋อหมิน  หู จิ่นเทา  และสี จิ้นผิง   แต่ละท่านได้สร้างคุณูปการมากมาย

จุดเปลี่ยนสำคัญของจีนคือเมื่อเปลี่ยนแปลงเป็นคอมมิวนิสต์ใหม่ๆมีความยากคือระบบเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร  ช่วงแรกๆจีนทำตามรัสเซีย  ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบปิด ทำนารวม ทุกคนเอาของไปไว้กองกลาง จากนั้นจึงแบ่งปัน ซึ่งเกิดปัญหามากมาย  คนที่เปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจีนเป็นระบบเศรษฐกิจการตลาดคือ เติ้ง เสี่ยวผิง จากนั้นจีนจึงเป็นประเทศแรกของโลกก็ว่าได้ที่บริหารแบบคอมมิวนิสต์แต่อยู่กับระบบเศรษฐกิจแบบการตลาด ซึ่งโลกที่นำโดยตะวันตกเป็นระบบเศรษฐกิจแบบการตลาด จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากว่าจะบริหารภายในแบบคอมมิวนิสต์  แต่อยู่กับโลกภายนอกแบบเศรษฐกิจการตลาดอย่างไร  

ยุค เติ้ง เสี่ยวผิง ทดลองระบบเศรษฐกิจการตลาดที่เซินเจิ้นข้างๆฮ่องกง  เพราะฮ่องกงมีความเจริญ  มีนักธุรกิจนักลงทุนมากมาย ถ้าดึงนักธุรกิจจากฮ่องกงได้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างพื้นที่เศรษฐกิจการตลาดที่เติบโตได้ในเมืองจีน

อันดับถัดมาคือการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐาน  เพราะจีนมองว่าถ้าประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลเชื่อมต่อกันไม่ได้สะดวก “พลัง”ก็จะไม่เกิด  เหมือนเช่นที่สหรัฐอเมริกาก่อสร้างทางรถไฟเชื่อมทุกมลรัฐ  จีนจึงสร้างถนน  สร้างทางรถไฟ  พัฒนารถไฟความเร็วสูง  สนามบิน  ทำให้พลังที่ซ่อนเร้นอยู่สามารถปลดปล่อยออกมาได้   ก่อให้เกิดการลงทุน การผลิต จนวันนี้จีนกลายเป็น “โรงงานของโลก”ภายในเวลาเพียงประมาณ 40 ปี

เหตุที่จีนทำได้สำเร็จเพราะ 1. การนำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนและผู้นำทั้ง 5 รุ่นที่ผ่านมา  2.จีนมีกองทัพที่ถือว่าเป็นกองทัพของพรรคฯไม่ใช่ของรัฐบาล  พรรคฯคุมกองทัพจึงไม่มีโอกาสที่กองทัพจะมาล้มรัฐบาล  3.เมื่อมีความมั่นคงแข็งแรงตรงจีน  จีนจึงสามารถกำหนดทิศทาง ยุทธศาสตร์ และแนวนโยบายต่างๆได้อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด  ไม่ใช่กลับไปกลับมาอย่างรัฐบาลในประเทศอื่นๆ  4.การบริหารของจีนจากรัฐบาลกลางไปสู่รัฐบาลท้องถิ่นจะเชื่อมต่อโดยพรรคฯ

ทำไมในหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาจีนจึงเน้นเรื่อง BRI ? และยังเน้นเรื่องประชาคมโลกที่ร่วมชะตากรรมกันหรือแบ่งปันกัน

ก็เพราะจีนไม่มีเรือปืนมากมายที่ไปคุมได้ทั่วโลก  จีนยังถูกปิดกั้นทางทะเลจีนใต้ทั้งหมดตั้งแต่เกาหลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ลงไปจนถึงอินโดนีเซีย  เป็นผลสืบเนื่องตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ปี 2013 ท่านสี จิ้นผิง นำเสนอข้อคิดการเปิดประเทศจีนด้วยเส้นทางสายไหมยุคใหม่  ดังเช่นเส้นทางสายไหมในอดีตที่จีนเคยเชื่อมต่อถึงโรมัน  วิธีการคือที่ไหนต้องทำถนนก็ทำถนน  ที่ไหนต้องทำทางรถไฟก็ทำทางรถไฟ  เส้นทางไหนทำรถไฟความเร็วสูงได้ก็ทำ ที่สำคัญคือทางเรือก็ต้องมีท่าเรือต่างๆคอยรองรับ  จีนจึงพูดถึงทางสายไหมทางบกและทางทะเล

เส้นทางสายไหมยุคใหม่นี้หากไปทางตะวันตกคือเชื่อมสู่ยุโรป  หากลงทางใต้ผ่านทะเลจีนใต้  เชื่อมมาทางช่องแคบมะละกาเพื่อไปสู่อินเดียและแอฟริกา  โครงการนี้จีนเรียกว่าความร่วมมือที่ได้ประโยชน์ร่วมกัน วันนี้จีนจึงมีผู้เข้าร่วมเส้นทางสายไหมมากกว่า 150 ประเทศ  ซึ่งรวมจำนวนประชากรมากกว่า 75% ของโลก รวม GDP เกิน 50% ของโลก

จีนมองว่าโลกมีอยู่โลกเดียว  สิ่งที่โลกเผชิญอยู่ทุกวันนี้คือ 1.ภัยจากธรรมชาติ อาทิ แผ่นดินไหว  น้ำท่วม  โลกร้อน  โรคระบาด  2.ภัยจากมนุษย์ด้วยกันเอง สงคราม การก่อการร้าย  ภัยจากความรวย-ความยากจน  ความเหลื่อมล้ำที่ช่องว่างขยายมากขึ้น จีนจึงมุ่งมั่นเอาชนะความยากจน 

จีนแสดงให้เห็นว่าต้องเรียกร้องให้นานาประเทศร่วมกันปกป้องโลกที่อยู่ร่วมกัน โดยเส้นทางสายไหมจะเป็นตัวเชื่อม ท่านสี จิ้นผิง เคยกล่าวว่า “ที่ไหนไม่มีสันติภาพ  ที่นั่นจะพัฒนาไม่ได้”  ดังนั้นจะทำอย่างไรให้เกิดสันติภาพ  ทำอย่างไรจะสามารถสร้างทัศนคติเชิงบวกที่มองผู้คนเป็นพี่น้องและแบ่งปัน

โดยสรุป  1.เราติดต่อกันด้วย BRI ด้วยความเสมอภาพ  ด้วยผลประโยชน์ร่วมกัน  2. ทั้งหมดเพื่อเป้าหมายที่ว่าเราอยู่ร่วมโลกเดียวกัน เราต้องสร้างสังคมโลกที่ร่วมแบ่งปัน ร่วมชะตากรรม

แล้วสถานการณ์ปัจจุบันเอื้อต่อการผลักดัน BRI มากแค่ไหน?

ตอนนี้ทั้งโลกมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ  จีนเองก็มีปัญหาเงินฝืด แต่จีนน่าจะไปได้เพราะมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เข้มแข็ง มีทิศทางที่ชัดเจนในการแก้ปัญหา แม้จะผิดพลาดก็สามารถปรับตัวได้เร็ว  ดังเช่นการปรับนโยบายเรื่องโควิด  และประกาศเปิดประเทศรับการท่องเที่ยว 

BRI คือยุทธศาสตร์ที่วันนี้ไม่ใช่เฉพาะของจีน  แต่ให้ความสำคัญกับประเทศทั่วโลกที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนาที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมและได้ประโยชน์จากBRI   ประเทศที่พัฒนาแล้วก็อาจจะได้ประโยชน์บ้าง

ทิ้งคำตอบไว้

กรุณาใส่ความคิดเห็นของคุณ!
กรุณาใส่ชื่อของคุณที่นี่

spot_img

Latest Posts