“…การพบปะเจรจาอย่างเป็นทางการ ระหว่างสองผู้นำประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้ง ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง และประธานาธิบดีโจ ไบเดน โดยภาพรวมก็คือ สหรัฐฯยอมรับสถานภาพของจีน พร้อมที่จะร่วมกับจีนบริหารจัดการปัญหาระหว่างสองฝ่ายกับปัญหาระดับโลกในฐานะประเทศใหญ่มีความรับผิดชอบสูง ก็เมื่อจีนแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเสมอมาแล้วว่าจะยืนอยู่บนความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ ยินดีร่วมกับทุกฝ่ายบุกเบิกเส้นทางไปสู่อนาคตร่วมกัน คัดค้านการตั้งกลุ่มเลือกข้าง ต่อสู้เชือดเฉือนกันไปมา ไม่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนของประวัติศาสตร์ สิบปีข้างหน้าจะพิสูจน์ถึงสัจธรรมข้อนี้ชัดเจนอย่างยิ่งหากผู้นำสหรัฐฯยึดมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงครั้งนี้ มันเป็นความพยายามที่ประวัติศาสตร์มอบให้ โดยมีระบอบสังคมนิยมแบบจีนที่แข็งแกร่งเป็นหลักค้ำยัน…”
โลกชนะ 世界赢
การพบปะเจรจาอย่างเป็นทางการ ระหว่างสองผู้นำประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ซานฟรานซิสโกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา
นับเป็นชัยชนะของคนทั้งโลก
ทั้ง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ตกลงดำเนินนโยบายประสานผลประโยชน์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ส่งเสริมความร่วมมือและการติดต่อไปมาหาสู่กันให้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็หาทางลดความขัดแย้งที่ไม่จำเป็นลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางสหรัฐฯ เลิกแสดงท่าทีขัดขวางการรวมชาติของจีนในกรณีไต้หวัน เพื่อเปิดทางให้แก่ความร่วมมืออื่นๆ ที่จำเป็นต่อสหรัฐฯ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการแยกตัวทางเศรษฐกิจการค้าที่สหรัฐฯต้องพึ่งพาจีนแม้จะยังแสดงความเหนือกว่าทางด้านเทคโนโลยีบางประเภทก็ตาม
โดยภาพรวมก็คือ สหรัฐฯ ยอมรับสถานภาพของจีน พร้อมที่จะร่วมกับจีนบริหารจัดการปัญหาระหว่างสองฝ่ายกับปัญหาระดับโลกในฐานะประเทศใหญ่มีความรับผิดชอบสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนชี้ทางให้มาเป็นลำดับ
ก็เมื่อจีนแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนเสมอมาแล้วว่าจะยืนอยู่บนความถูกต้องทางประวัติศาสตร์ ยินดีร่วมกับทุกฝ่ายบุกเบิกเส้นทางไปสู่อนาคตร่วมกัน คัดค้านการตั้งกลุ่มเลือกข้าง ต่อสู้เชือดเฉือนกันไปมา ซึ่งเป็นความคิดตกขอบ ไม่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนของประวัติศาสตร์
กระแสประวัติศาสตร์ยุคนี้ จีนชี้ชัดแล้วว่าทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบร้อยปี ทุกฝ่ายต้องเร่งปรับตัวเองให้พร้อม ประสานไปกับแสวงหาความร่วมมือกันในระดับนานาชาติ ที่มุ่งสู่การสร้างอนาคตร่วมกัน ความมั่งคั่งและทันสมัยร่วมกัน เพื่อมวลมนุษยชาติทั้งบนผิวโลกและนอกผิวโลก
สิบปีข้างหน้าจะพิสูจน์ถึงสัจธรรมข้อนี้ชัดเจนอย่างยิ่งหากผู้นำสหรัฐฯยึดมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงที่ซานฟรานซิสโกครั้งนี้
ทว่า โอกาสที่ฝ่ายสหรัฐฯ จะบิดพลิ้วเฉไฉก็มีมาก เพราะการเมืองภายในของพวกเขาเละเทะแตกแยก การดำเนินนโยบายไม่นิ่ง กวัดแกว่งไปมาตามวิกฤตเฉพาะหน้า ซึ่งฝ่ายจีนตระหนักดี และเตรียมพร้อมที่จะรับมือ และคบหน้าตบหลังให้ฝ่ายสหรัฐฯต้องกลับเดินไปในแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อผลประโยชน์โดยรวมของมวลมนุษยชาติ
จีนยืนมั่นในทิศทางประวัติศาสตร์ และผลประโยชน์มนุษยชาติ เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ตนเอง ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ไม่เพียงเพิ่มอำนาจต่อรองของตนเท่านั้น แต่มันคือหลักประกันพื้นฐานของสันติภาพและการพัฒนาก้าวหน้าของสังคมโลกโดยรวม
พวกเขาจึงไม่ละความพยายามที่จะดึงสหรัฐฯและประเทศต่างๆ ทั่วโลกมาร่วมวงสร้างอนาคตร่วมกัน
มันเป็นความพยายามที่ประวัติศาสตร์มอบให้ โดยมีระบอบสังคมนิยมแบบจีนที่แข็งแกร่งเป็นหลักค้ำยัน