“…ประเทศจีนมีระบบระบอบเฉพาะของตน สามารถระดมสรรพกำลังทำการใหญ่ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศจะต้องเป็นสังคมนิยมแบบจีนจึงจะทำได้ เพราะโดยนัยแล้วแต่ละประเทศจะมีจุดแข็งของตัวเองอยู่แล้ว ขอให้มีคณะผู้นำที่ใจสู้เอาจริง เป็นที่รักใคร่ของมวลมหาประชาชนก็พอ เมื่อสีจิ้นผิงขึ้นมารับไม้ต่อจากหูจิ่นเทาในปลายปี2012 เขาได้กำหนดแนวการบริหารประเทศบนฐานของการสานต่อความคิดทฤษฎีที่มีมาตั้งแต่สมัยการนำของเหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง เจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทา พุ่งเป้าไปที่การฟื้นฟูความรุ่งเรืองให้แก่ประชาชาติจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่เน้นความสำคัญไปที่การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจีนโดยรวม จนสามารถพาคนจีนทั้งหมดในแผ่นดินจีนหลุดพ้นจากความยากจนได้ในปี 2020…”
ความทันสมัยแบบจีน 中国式现代化
ระยะนี้ มีการเอ่ยถึงเรื่อง “ความทันสมัยแบบจีน” บ่อยมากในประเทศจีน แสดงว่าแนวทางการพัฒนาประเทศของจีนกำลังมุ่งไปในทิศทางดังกล่าว เปรียบเสมือนการปรับหางเสือของเรือให้เที่ยงตรงยิ่งขึ้น
วิธีการบริหารประเทศให้ดำเนินไปในแนวทางที่ดีและถูกต้องเสมอ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้กระทั่งในยามที่เกิดความผิดพลาดใหญ่ๆ ก็พร้อมที่จะกลับลำ เดินหน้าต่อไปบนเส้นทางใหม่ที่เห็นแล้วว่าถูกต้องและดีกว่า ระบบวิธีการบริหารจัดการลักษณะนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นประเพณีการบริหารจัดการรัฐกิจของรัฐบาลจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนไปแล้ว
เป้าหมายที่จะพัฒนาประเทศจีนให้ทันสมัยมีมาตั้งแต่ช่วงปลายของคณะผู้นำที่มีเหมาเจ๋อตงและโจวเอินไหลเป็นแกนนำ และได้รับการสานต่อในช่วงเติ้งเสี่ยวผิงเป็นผู้นำทำการปฏิรูปและเปิดประเทศครั้งใหญ่ ตั้งแต่ต้นทศวรรษ1980 ซึ่งต่อมาคณะผู้บริหารประเทศที่นำโดยเจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทาก็รับไม้ต่อ มุ่งสร้างประเทศจีนให้ทันสมัยรอบด้าน
มาถึงวันนี้คณะผู้นำที่นำโดยสีจิ้นผิงได้ไฮไลท์นิยามของคำว่าทันสมัยไปที่
“ แบบจีน”หรือ“中国式”
มาถึงตรงนี้เห็นทีจะต้องตั้งปุจฉากันแล้วว่า คณะผู้นำจีนใช้อะไรเป็นตัวกำหนดว่าจะต้องทำแบบนั้นแบบนี้?
อิงตามประวัติการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีนตั้งแต่เริ่มต้นทำสงครามประชาชนปลดปล่อยประเทศจีนในช่วงกลางทศวรรษ1920 โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ครั้งที่เหมาเจ๋อตงได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำพรรคในปีค.ศ.1934 ก็ได้ปรับวิธีคิดของทั่วทั้งพรรคให้ยึดถือเอา“ความจริง”เป็นตัวตั้ง หัวใจก็คือการ “หาสัจจะจากความเป็นจริง” หรือ“实事求是”
หลักวิธีคิดเช่นนี้ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนสามารถกำหนดแนวทางการปฎิวัติประเทศจีนได้อย่างถูกต้อง
ทำสงครามประชาชนแบบจีน ทำการปลดปล่อยประเทศจีนและประชาชนจีนได้สำเร็จในปี ค.ศ.1949
ต่อมาในปลายทศวรรษ1970 คณะผู้นำจีนชุดใหม่ที่มีเติ้งเสี่ยวผิงเป็นแกนนำ ก็ได้ปรับแนวทางการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยครั้งใหญ่ ด้วยวิธีคิดที่ว่า “ปลดปล่อยความคิด หาสัจจะจากความเป็นจริง“解放思想 实事求是 ยึดเอาการปฏิบัติเป็นตัววัดความถูกต้องของความคิดทฤษฎี โดยการสรุปออกมาว่า จะต้องสร้างสังคมนิยมแแบจีน และพัฒนาเศรษฐกิจตลาดแบบสังคมนิยมขึ้นมา จึงจะสอดคล้องกับสภาพเป็นของประเทศจีนในช่วงดังกล่าว
เจียงเจ๋อหมิน และหูจิ่นเทาได้สานต่อและพัฒนาแนวคิดดังกล่าวในทุกๆ ด้าน จนกระทั่งเศรษฐกิจจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกตั้งแต่ปี 2010
เมื่อสีจิ้นผิงขึ้นมารับไม้ต่อจากหูจิ่นเทาในปลายปี2012 เขาได้กำหนดแนวการบริหารประเทศบนฐานของการสานต่อความคิดทฤษฎีที่มีมาตั้งแต่สมัยการนำของเหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง เจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทา พุ่งเป้าไปที่การฟื้นฟูความรุ่งเรืองให้แก่ประชาชาติจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่เน้นความสำคัญไปที่การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจีนโดยรวม จนสามารถพาคนจีนทั้งหมดในแผ่นดินจีนหลุดพ้นจากความยากจนได้ในปี 2020
แนวคิดและการปฏิบัติของคณะผู้นำจีนที่มีมาตั้งแต่สมัยเหมาเจ๋อตงจนถึงปัจจุบันนี้ ตั้งอยู่บนฐานวิธีคิดเดียวกันคือ ถือเอาความเป็นจริงและการปฏิบัติเป็นตัวตั้ง แล้วทำการสรุปออกมาเป็นแนวทางนโยบายชี้นำให้หน่วยงานทุกระดับทั่วประเทศยึดมั่น ดำเนินการบริหารจัดการอย่างทุ่มเทสุดกำลัง นี่คือคำตอบว่าเหตุใดจีนจึงพัฒนาประเทศได้เร็ว เกิดความเจริญก้าวหน้า ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นทันตาเห็น จนเป็นที่ฉงนฉงายไปทั่วทั้งโลก
ในการประชุมกลุ่มประเทศ BRICS ที่ประเทศแอฟริกาใต้ในระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคมที่ผ่านมานี้ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงได้กล่าวต่อที่ประชุมที่มีผู้นำประเทศต่างๆหลายสิบประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศในแอฟริกาที่มีความสนใจที่จะพัฒนาประเทศให้ทันสมัยเหมือนจีน ว่า ทุกประเทศมีโอกาสพัฒนาตัวเองให้ทันสมัยได้ในแบบของตัวเอง บนพื้นฐานความเป็นจริงของตัวเอง
คำกล่าวนี้ ได้สร้างความหวังและกำลังใจให้แก่ผู้นำประเทศเหล่านั้นอย่างมิต้องสงสัย
ด้วยทุกวันนี้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกล้วนแต่ต้องการความเจริญก้าวหน้า ประชาชนต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าจีนทำได้สำเร็จ ก็ใคร่ศึกษาทำตามบ้าง
และก็ไม่ผิดหวัง เพราะผู้นำจีนได้มอบกุญแจไขประตูไปสู่ความสำเร็จแล้ว นั่นคือ 实事求是(หาสัจจะจากความเป็นจริง)
ต่อไปนี้ คณะผู้นำประเทศที่รับวิธีคิดแบบจีนไปประยุกต์ใช้กับประเทศตน ก็จะต้องลงมือปฏิบัติ เพื่อเข้าถึงปมปัญหาที่มีอยู่แล้วกำหนดแนวทางนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริง กำหนดเป้าหมายจะต้องบรรลุให้ได้ในแต่ละช่วงของการพัฒนาอย่างชัดเจน พร้อมกันนั้นก็ต้องมีกระบวนการระดมสรรพกำลังทุกฝ่ายทุกระดับชั้นไปในการเดียวกัน
ประเทศจีนมีระบบระบอบเฉพาะของตน สามารถระดมสรรพกำลังทำการใหญ่ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศจะต้องเป็นสังคมนิยมแบบจีนจึงจะทำได้ เพราะโดยนัยแล้วแต่ละประเทศจะมีจุดแข็งของตัวเองอยู่แล้ว ขอให้มีคณะผู้นำที่ใจสู้เอาจริง เป็นที่รักใคร่ของมวลมหาประชาชนก็พอ
อย่าลืมว่าเมื่อความคิดทฤษฎีถูกต้องแล้ว แนวนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงเกิดขึ้นแล้ว เมื่อนั้นผู้ปฏิบัติงานทุกระดับที่มีมวลชนเป็นฐาน ก็คือปัจจัยชี้ขาด
จากนี้ เชื่อว่าแต่ละประเทศจะค้นพบเส้นทางการสร้างความทันสมัยให้แก่ตนเอง
ซึ่งจีนหวังว่า สังคมโลกยุคใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ทุกประเทศจะสามารถสร้างความทันสมัยไปพร้อมๆ กับประเทศจีน
ส่วนความทันสมัยแบบจีนนั้นเป็นอย่างไร ?หลักๆ ก็คือจะต้องมีความเจริญทั้งทางวัตถุและจิตใจ ประชาชนมั่งคั่งร่วมกัน มนุษย์อยู่คู่กับธรรมชาติอย่างกลมกลืน ฯลฯ
ไขคำจีน 中国式 จงกั๋วซื่อ แบบจีน
@suebjarkkhao ไขปม “จีนผงาดเจ้าโลก” ประชาชน “ไร้ความยากจน” ด้วยสุดยอด “ 5 ผู้นำ” “…ประเทศจีนมีระบบระบอบเฉพาะของตน สามารถระดมสรรพกำลังทำการใหญ่ได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกประเทศจะต้องเป็นสังคมนิยมแบบจีนจึงจะทำได้ เพราะโดยนัยแล้วแต่ละประเทศจะมีจุดแข็งของตัวเองอยู่แล้ว ขอให้มีคณะผู้นำที่ใจสู้เอาจริง เป็นที่รักใคร่ของมวลมหาประชาชนก็พอ เมื่อสีจิ้นผิงขึ้นมารับไม้ต่อจากหูจิ่นเทาในปลายปี 2012 เขาได้กำหนดแนวการบริหารประเทศบนฐานของการสานต่อความคิดทฤษฎีที่มีมาตั้งแต่สมัยการนำของเหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิง เจียงเจ๋อหมินและหูจิ่นเทา พุ่งเป้าไปที่การฟื้นฟูความรุ่งเรืองให้แก่ประชาชาติจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่เน้นความสำคัญไปที่การยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนจีนโดยรวม จนสามารถพาคนจีนทั้งหมดในแผ่นดินจีนหลุดพ้นจากความยากจนได้ในปี 2020…” จับทางจีน สันติ ตั้งรพีพากร ความทันสมัยแบบจีน 中国式现代化
♬ เสียงต้นฉบับ Suebjarkkhao