“…จึงแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงสิบปีเท่านั้นที่คณะผู้นำจีนชุดที่มี สีจิ้นผิง เป็นผู้นำ ก็ได้พลิกฐานะความเป็นอยู่ของชาวจีนสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง สามารถประกาศต่อชาวโลกด้วยความภาคภูมิใจว่า คนจีนทั้งประเทศหลุดพ้นจากความยากจนแล้ว และการคืนดีกันระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบีย ได้กลายเป็นหลักหมายสำคัญของการสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในกลุ่มประเทศอาหรับ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผลจากการชักนำของจีนทั้งสิ้น สะท้อนแนวคิดชึ้นำของพรรคฯจีนที่ว่า สันติภาพและการพัฒนาคือกระแสหลักของสังคมโลกในลักษณะที่ตะวันออกกำลังลอยสูงและตะวันตกกำลังคล้อยต่ำ จะค่อยๆพิสูจน์ชัดขึ้นเรื่อยๆว่า อะไรที่คณะผู้นำจีนเสนอย่อมสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของชาวจีนและชาวโลกเสมอ เมื่อมีการนำเสนอออกมาแล้ว พวกเขาก็จะทำได้สำเร็จ เกิดผลเป็นจริงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้เสมอ จนในที่สุด พรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจกลายเป็นทรัพยากรล้ำค่าของมวลมนุษยชาติโดยรวมอย่างแท้จริง….”
ทฤษฎีบวกการปฏิบัติ 理论加实践
จะว่าไปแล้ว บนเส้นทางอันยืดยาวหลายพันปีของอารยธรรมจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนนับเป็นทรัพยากรล้ำค่าสูงสุดในการเนรมิตประเทศจีนให้เดินหน้าสานต่ออารยธรรมจีนให้รุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งไปอีกนานแสนนาน และจะเป็นเหตุปัจจัยยิ่งใหญ่ที่สุดในการชักนำให้สังคมโลกเคลื่อนคล้อยไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศจีน ซึ่งคณะผู้นำภายใต้การนำของสีจิ้นผิงก็ได้แสดงตัวแล้วว่ายินดีปฏิบัติภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยการนำเสนอข้อริเริ่มต่างๆออกมาเป็นชุดๆ
เช่นการสร้างอนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติ 人类命运共同体 การร่วมโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง 一带一路 การร่วมกันพัฒนา 全球发展 การร่วมกันสร้างความมั่นคง 全球安全 และการร่วมกันสร้างอารยธรรมทั้งโลก 全球文明 ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่า ยิ่งประเทศจีนพัฒนาก้าวหน้าไปเท่าไหร่ โอกาสที่ชาวโลกจะได้ร่วมกันสร้างอนาคตร่วมกันก็มีมากเท่านั้น
จึงเท่ากับว่าบทบาทและสถานภาพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในห้วงประวัติศาสตร์การพัฒนาของประชาชาติจีนและประชาคมโลกตั้งอยู่บนจุดที่ซ้อนทับกันพอดี ความสำเร็จในการบริหารประเทศจีนก็คือตัวแปรสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการสร้างอนาคตร่วมกันของมวลมนุษยชาติ ความเจริญรุ่งเรืองของจีนในด้านต่างๆ ก็จะสะท้อนออกมาเป็นความรุ่งเรืองร่วมกันของมวลมนุษยชาติ ดังกรณีรถไฟความเร็วสูงของอินโดนีเซียและซาอุดิอารเบีย เป็นต้น
ปัจจุบันนี้ความเจริญก้าวหน้าและบทบาททางการทูตของจีนได้จุดประกายความหวังของประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกว่าตัวเองสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองและดำเนินชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขเช่นที่เป็นอยู่ในประเทศจีนด้วยเช่นเดียวกัน ดังกรณีที่หลายต่อหลายประเทศขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคืนดีกันระหว่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบีย ได้กลายเป็นหลักหมายสำคัญของการสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองในกลุ่มประเทศอาหรับ ซึ่งทั้งหมดนั้นล้วนเป็นผลจากการชักนำของจีนทั้งสิ้น ซึ่งเท่ากับว่าประเทศต่างๆจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ รับเอาแนวคิดชึ้นำของพรรคฯจีนที่ว่า สันติภาพและการพัฒนาคือกระแสหลักของสังคมโลกในลักษณะที่ตะวันออกกำลังลอยสูงและตะวันตกกำลังคล้อยต่ำ
ในทางปฏิบัติ สังคมโลกกำลังประจักษ์ด้วยสายตาตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆว่า การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศจีน ในห้วงของการสร้างระบอบสังคมนิยมแบบจีนยุคใหม่ที่มุ่งสนองความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวจีนในระดับที่สูงขึ้น ประสานไปกับการเดินหน้าหาเพื่อน ร่วมคิด ร่วมสร้าง และร่วมแบ่งปันในโครงการต่างๆ ที่จีนริเริ่ม
จึงแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงสิบปีเท่านั้นที่คณะผู้นำจีนชุดที่มี สีจิ้นผิง เป็นผู้นำ ก็ได้พลิกฐานะความเป็นอยู่ของชาวจีนสูงขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง สามารถประกาศต่อชาวโลกด้วยความภาคภูมิใจว่า คนจีนทั้งประเทศหลุดพ้นจากความยากจนแล้ว ควบคู่ไปกับการมีเพื่อนจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วในโครงการต่างๆ พร้อมกับเสียงสนับสนุนมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อข้อเสนอริเริ่มที่มุ่งแก้ปัญหาร่วมกันทั้งโลก
ทั้งหลายทั้งปวงที่กำลังดำเนินไปทั้งในประเทศจีนและระดับทั้งโลก ดูเหมือนจะค่อยๆพิสูจน์ชัดขึ้นเรื่อยๆว่า อะไรที่คณะผู้นำจีนเสนอย่อมสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของชาวจีนและชาวโลกเสมอ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เมื่อมีการนำเสนอออกมาแล้ว พวกเขาก็จะทำได้สำเร็จ เกิดผลเป็นจริงตามเป้าหมายที่กำหนดไว้เสมอ
ด้วยทฤษฎีที่ชัดเจน สอดคล้องกับทิศทางการขับเคลื่อนของสังคมโลก และความเรียกร้องต้องการของมวลมหาประชาชนทั่วไปในยุคที่ทั้งโลกได้เชื่อมโยงกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วนี้
ตลอดจนการปฏิบัติที่จริงจัง ทำให้สถานภาพของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในสายตาคนจีนและชาวโลกโดยรวม มีแนวโน้มดีขึ้นและสูงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด พรรคคอมมิวนิสต์จีนอาจกลายเป็นทรัพยากรล้ำค่าของมวลมนุษยชาติโดยรวมอย่างแท้จริง